๑๑/๒๐ ชีวิตผมดีขึ้นเพราะกรรมฐาน

เทอดศักดิ์ นาไชยธง

 

    ผมเป็นชาวเพชรบูรณ์โดยกำเนิด ปัจจุบันอายุ ๒๗ ปี ได้มีโอกาสรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารเรือ ๒ ปี หลังจากพ้นหน้าที่มาแล้วเมื่อ ๔-๕ ปีที่ผ่านมา ก็ช่วยพี่สาวดูแลโรงน้ำแข็งแห่งหนึ่งที่จังหวัดสมุทรปราการ ใกล้ ๆ กับพระสมุทรเจดีย์ บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งนับเป็นอาชีพที่มั่นคงและมีรายได้ดีพอสมควร จึงทำมาจนถึงทุกวันนี้

    โดยปกติแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่สู้จะมีจิตใจฝักใฝ่ทางพระ ทางธรรมเท่าใดนัก ได้มีโอกาสมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญและวัดอัมพวัน ก็เพราะการแนะนำของผู้ใหญ่ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่ง คือ นาวาเอกไพโรจน์ แก่นสาร แรก ๆ ที่ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่อและคำสอนของท่าน ก็รู้สึกสนใจเพียงเล็กน้อย จนเมื่อได้ยินบ่อย ๆ เข้าก็รู้สึกศรัทธามากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อผมมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพและการงานที่ทำอยู่แล้วขอคำปรึกษาจาก นาวาเอกไพโรจน์ฯ ท่านก็ยกคำสอนของหลวงพ่อมาเตือนสติ ให้ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ผมจึงหาโอกาสมากราบหลวงพ่อที่วัดเป็นครั้งแรกในราวกลางปี ๒๕๓๙ ในการไปวัดครั้งนั้นผมขับรถไปกับเพื่อน ซึ่งต่างก็ไม่รู้จักทางเข้าวัด แต่ก็หาพบจนได้ไม่ยากเย็นนัก เมื่อเข้าไปในบริเวณวัด รู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่สงบร่มรื่น และชุ่มชื่นใจนัก ได้เห็นความเป็นอยู่ของผู้ปฏิบัติธรรมก็นึกชอบ เพราะไม่วุ่นวายหรือส่งเสียงดัง แยกอยู่เป็นสัดส่วน ไม่มีผู้ใดมารบกวนเลย แตกต่างจากวัดแถวบ้านผมเป็นอย่างมาก จึงพูดทีเล่นทีจริงกับเพื่อนว่า “ถ้าจะบวชก็ขอบวชที่วัดนี้แหละ สงบดี”

    หลังจากเดินชมบริเวณโดยรอบแล้วจึงแวะที่กุฏิหลวงพ่อ (ชั้นล่าง) นั่งรออยู่นานหลายชั่วโมงเหมือนกัน จนหลวงพ่อลงมาพบญาติโยมที่รอกันอยู่จนแน่นห้องนั้น เมื่อรับถวายเครื่องสักการะต่าง ๆ แล้วหลวงพ่อได้เมตตาให้พรและสอนธรรมะ คำสอนของท่านฟังดูทันสมัย เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน มีข้อคิดคติธรรมที่ทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ตามความเหมาะสม ทำให้ผมมีศรัทธามากยิ่งขึ้นไปอีก

    ต่อมาอีกไม่นานผมได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเป็นครั้งแรก เพียง ๓ วัน ได้รับกรรมฐานและฟังหลวงพ่อบรรยายธรรมในวันพระ ผมจำได้แม่นยำว่าท่านกรุณาสอนเรื่องพระคุณของมารดา-บิดา คำสอนของท่านช่างสะกิดใจผมเหลือเกิน เหมือนจงใจจะเทศน์โปรดผมโดยเฉพาะ เนื่องจากผมเองเคยโกรธบิดา และไม่ยอมพูดด้วยเป็นเวลาประมาณสิบปีแล้ว ถึงแม้ผมจะมาเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ นาน ๆ จะกลับบ้านที่เพชรบูรณ์สักครั้ง เมื่อพบกันก็ไม่พูดหรือทักทายท่านเลย จนนานวันเข้ากลายเป็นเรื่องปกติ หลวงพ่อท่านสอนว่า “ลูกคนใดถ้าไม่เคารพพ่อ-แม่ จะทำงานอะไรหรือประกอบการค้าใด ๆ ก็หาความเจริญรุ่งเรืองไม่ได้เลยในชีวิต” ผมฟังคำสอนของหลวงพ่อแล้วก็หวนคิดถึงเรื่องของตัวเอง เริ่มเกิดสำนึกดีงามและรู้บาปบุญคุณโทษในการกระทำที่ไม่ดีของตนมากยิ่งขึ้น ในเรื่องการไม่พูดกับพ่อบังเกิดเกล้ามาเป็นเวลานาน

    วันรุ่งขึ้น ระหว่างที่ผมกำลังปฏิบัติธรรมร่วมกับหมู่คณะอยู่นั้น ฉับพลันก็เกิดความรู้สึกคิดถึงบิดาขึ้นมาอย่างจับใจ อยากจะไปหาท่านในขณะนั้นเลย มีความตื้นตันใจจนน้ำตาเอ่อคลอเบ้าตา อยากจะร้องไห้ออกมาให้หายอัดอั้นตันใจ แต่ก็ไม่กล้า จำต้องข่มใจไว้ เมื่อครบกำหนดปฏิบัติ ก่อนกลับบ้านก็หวนนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อในเรื่องความกตัญญูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ความโกรธเคืองบิดาที่มีอยู่เดิมจางหายไปสิ้น รีบหาโอกาสกลับบ้านที่จังหวัดเพชรบูรณ์ พบบิดาจึงยกมือไหว้และเข้าไปทักทายพูดคุยกับท่าน ท่านรู้สึกงุนงง เพราะคิดไม่ถึงว่าลูกที่มึนตึงกับท่านมานับสิบปีจะปฏิบัติดีเช่นนี้กับท่าน เห็นได้ชัดเจนว่าท่านดีใจและมีความสุขมาก

    ต่อมาเมื่อใกล้สิ้นปี ๒๕๓๙ สุขภาพร่างกายของผมไม่สู้ดี ล้มป่วยบ่อยมาก จนรู้สึกท้อแท้เบื่อหน่ายอะไรๆ ไปเสียหมด พยายามรักษาอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นเท่าใดนัก จึงโทรศัพท์ไปเล่าให้นาวาเอกไพโรจน์ฯ ฟัง เพื่อขอคำปรึกษา ท่านจึงแนะนำให้หาโอกาสไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันอีก ซึ่งตรงใจผมพอดี เพราะคิดจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว ในการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ผมมีเวลามากขึ้น อยู่ที่วัดราว ๗-๘ วัน ได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อหลายครั้ง การเข้ากรรมฐานครั้งนี้ช่วยให้ผมรำลึกถึงบาปกรรมต่าง ๆ ที่ทำไว้แต่หนหลังมากมายหลายเรื่อง รู้สึกเสียใจและได้คิดว่าไม่น่าทำลงไปเลย หวนมาคิดถึงเรื่องอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของตนเอง ที่รักษาเท่าใดก็ไม่หายขาดสักที เชื่อเหลือเกินว่าเป็นผลจากเวรกรรมที่ทำไว้อย่างแน่นอน จึงขออโหสิกรรมและพร้อมที่จะชดใช้ให้หมดไป อะไรๆ คงจะดีขึ้นมาเองซึ่งก็ปรากฎจริงตามนั้นในภายหลัง กลับจากวัดคราวนี้สุขภาพกาย-ใจ ของผมเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ

    ต้นปี ๒๕๔๐ ผมได้เข้าปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันอีกครั้งหนึ่ง และบวชเป็นภิกษุประมาณหนึ่งเดือนในเวลาต่อมา ในวันบวชนั้น พ่อ-แม่ พี่น้องของผมมากันอย่างพร้อมหน้า ผมรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันใจมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะในขณะที่ก้มลงกราบเท้าบิดา-มารดา และตอนปลงผม ผมรู้สึกซึ้งใจในพระคุณของผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง กลั้นน้ำตาเอาไว้แทบไม่อยู่ ในระหว่างครองเพศบรรพชิตผมได้ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรม รวมทั้งกิจต่างๆ ของสงฆ์เท่าที่โอกาสอำนวย พบภายหลังว่าโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ทุเลาลงเป็นอันมาก สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์มากขึ้น ทั้งร่างกายและจิตใจ นับเป็นบุญโดยแท้ที่ผมได้มีโอกาสมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญและวัดอัมพวัน

    หลังจากสึกหาลาเพศมาแล้วก็กลับมาทำงานที่เดิมคือช่วยพี่ชายดูแลโรงน้ำแข็งอีก มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนในชีวิตจิตใจของตนเอง จากคนที่ไม่เคยสนใจในทางธรรมมาก่อน (แต่ก็ไม่เคยลบหลู่ดูถูกพระพุทธศาสนา) กลับเข้าใจชัดในพระคุณของพระศรีรัตนตรัย ซึ้งใจว่า วัดและพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจของคนเราอย่างประเสริฐยิ่ง ช่วยให้เข้าใจเรื่องบาปบุญคุณโทษ และความผิดชอบชั่วดีมากกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก นิสัยใจคอก็ได้รับการขัดเกลาให้รู้จักเลือกประพฤติปฏิบัติแต่ในเรื่องที่ถูกต้องดีงาม ปัจจุบันผมกล้ากล่าวอย่างภูมิใจว่า ผมมีความสุขเยือกเย็น มีจิตใจเมตตา และโอบอ้อมอารีมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด การดำเนินชีวิตโดยรวมจึงมีความเป็นปกติสุขตามสมควร เพราะกรรมฐานแท้ ๆ ที่ช่วยให้ผมมีชีวิตที่ดีขึ้นเพียงนี้

    สุดท้ายนี้ ผมขอกราบแทบเท้าขอบพระคุณหลวงพ่อจรัญ ที่ได้เมตตาสอนธรรมะที่ช่วยเปลี่ยนนิสัยให้ดีกว่าเก่า รวมทั้งครูบาอาจารย์กรรมฐานทุกท่านที่ช่วยอบรมสั่งสอนแนะนำการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางอันถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา ที่หลวงพ่อได้วางให้ลูกศิษย์ประพฤติปฏิบัติ

    อีกท่านหนึ่งซึ่งผมจะลืมขอบคุณไม่ได้ก็คือ นาวาเอกไพโรจน์ แก่นสาร ซึ่งเป็นผู้ชี้นำให้ผมมีโอกาสมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญและวัดอัมพวัน ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›