๒๑/๑๗ ข้าพเจ้าผู้มืดบอด

สุรพงศ์ ศรศิวรักษ์

 

แรงบันดาลใจ
ปัจจุบันผมอายุ ๔๔ ปี แต่งงานและมีบุตร ๒ คน ทำงานอยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เล็กจนโตชีวิตของผมดำเนินไปอย่างราบเรียบ บ้านเกิดอยู่จังหวัดปราจีนบุรี เรียนหนังสือจบปริญญาตรี เมื่อเรียนจบแล้วเริ่มทำงานเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐

     ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย มีเวลาว่างชอบอ่านหนังสือธรรมะทั่วไป อ่านประวัติพระสงฆ์สายของหลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต มีโอกาสก็จะไปกราบและทำบุญกับพระสงฆ์สายปฏิบัติ เช่น หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุยส์ เป็นต้น โดยเฉพาะชอบประวัติของหลวงปู่มั่น ซึ่งรวบรวมผ่านการบอกเล่าโดยหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน แห่งวัดป่าบ้านตาด รู้สึกชอบในปฏิปทา ของหลวงปู่มั่นมาก ทำให้นึกอยากบวชสักครั้งในชีวิต ให้สมกับนับถือศาสนาพุทธ เพื่อเรียนรู้พระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝึกจิตให้สงบ จะได้มีหลักยึดของชีวิตต่อไป

     เมื่ออายุ ๒๕ ปีครบเบญจเพส ตอนนั้นอยากเปลี่ยนงานอยู่พอดี จึงลาออกจากงานและได้อุปสมบทที่บ้านเกิดจังหวัดปราจีนบุรี อยู่ที่นั่น ๑๐ วัน จากนั้นขออนุญาตเจ้าอาวาสไปฝึกปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และฝึกฝนเรียนรู้ธรรม โดยพี่สาวอนุเคราะห์การเดินทางและเป็นธุระติดต่อให้ อยู่ที่นั่นเป็นเวลาเกือบ ๓ เดือน จึงได้ลาสิกขาบท ช่วงที่บวชได้รับความรู้ทางธรรม มีความสงบใจดี ได้รับประสบการณ์แปลกๆอยู่เสมอ มีโอกาสเดินทางไปกราบนมัสการพระปฏิบัติในสายหลวงปู่มั่น คือ หลวงปู่สิม ที่วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ด้วย

     วันหนึ่งได้ไปนั่งสมาธิในโบสถ์เป็นเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เมื่อออกจากสมาธิภาวนาแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า ขออานิสงส์แห่งการบวชและตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของข้าพเจ้านี้ จงเป็นพลวปัจจัยให้ข้าพเจ้าอย่าได้ตกไปอยู่ในความเสื่อมหรือในทางชั่ว ขอให้มีจิตคิดสร้างแต่บุญกุศลให้ยิ่งๆขึ้นไปด้วยเถิด

     ผมมีโรคประจำตัว คือโรคภูมิแพ้ เมื่ออากาศเปลี่ยนโดยเฉพาะอากาศเย็นจะเป็นหวัด แน่นจมูก ทำให้อยู่ในห้องแอร์ไม่ค่อยได้ แพ้พวกไรฝุ่น เกสรดอกไม้ อาหารบางชนิด และเป็นโรคหอบหืด ตอนอายุประมาณ ๑๗-๑๘ ปี (ที่จริงต้องเรียกว่าโรคหืด เวลาหืดจับทำให้หอบเหนื่อย หายใจไม่สะดวก)

ได้รู้จักวัดอัมพวัน เริ่มปฏิบัติธรรม
     ก่อนที่จะได้รู้จักหลวงพ่อจรัญ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๔-๒๕๓๕ เพื่อนหญิงผมรับหนังสือขวัญเรือนประจำ ผมอ่านพบเรื่องสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม พออ่านแล้วรู้สึกชอบ (ขณะนั้นยังไม่รวมเล่ม) ทุกเดือนผมต้องขอมาอ่านเสมอ นิยายเรื่องนี้แต่งโดยอาจารย์สุทัสสา อ่อนค้อม นามปากกาของ ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม ในเรื่องพูดถึงกรรม ผลของกรรม การฝึกสติ อ่านแล้วให้ข้อคิดดีมาก ชอบวิธีสอนธรรมะของหลวงพ่อเจริญ วัดป่ามะม่วง ตัวละครที่อยู่ในนิยาย ผมบอกกับแฟนว่า “ถ้าหลวงพ่อเจริญมีตัวตนอยู่จริง อยากไปกราบท่านและร่วมทำบุญกับท่าน” หลังจากจบเรื่องมีการเฉลยว่าหลวงพ่อเจริญ วัดป่ามะม่วง คือหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม แห่งวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ผมปีติยินดีเป็นที่สุด หลังจากรู้จักวัดอัมพวันแล้ว ผมก็หาโอกาสไปทำบุญและไปเข้ากรรมฐานอยู่เป็นระยะๆ จะอยู่กรรมฐานคราวละประมาณ ๗ วัน จนผมคุ้นกับวัดอัมพวันเป็นอย่างดี

     ผู้ที่ไปเข้ากรรมฐานแล้วพบกฎแห่งกรรมของตน ได้เขียนเล่าลงในหนังสือกฎแห่งกรรมของวัดอัมพวัน บางคนมาครั้งแรกก็มีเรื่องเล่าแล้ว นึกน้อยใจอยู่เหมือนกัน ว่าเราก็รู้จักวัดอัมพวันตั้งนานแล้ว (ถ้าปัจจุบันร่วม ๑๕ ปีเต็ม) จากที่มีหนังสือไม่กี่เล่ม (๕-๖ เล่ม) ปัจจุบันเป็น ๒๐ เล่มแล้ว ยังไม่มีโอกาสเขียนกฎแห่งกรรมของตัวเองมาลงกับเขาเลย การปฏิบัติของเราอาจจะยังเข้มข้นไม่พอ จึงไม่เห็นกฎแห่งกรรมของตัวเอง

     แต่จะว่าไม่พบกฎแห่งกรรมเลยก็ไม่ใช่ ครั้งหนึ่งที่เข้ากรรมฐาน จำได้ว่านั่งนานมากจนปวดขาไปหมด เป็นเหน็บปวดมากจะทนไม่ไหวแล้ว (กำหนดปวดหนอก็ไม่หาย ยิ่งปวดมากขึ้น) ก่อนจะหมดชั่วโมงนั้นรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่หลังเท้าอย่างมาก เหมือนใครเอาไฟมาลนที่หลังเท้า ทั้งร้อนทั้งแสบ ปวดจะทนไม่ไหวเกือบจะลืมตาและขยับขาแล้ว นั่งตัวเกร็งสั่นไปหมด พี่เลี้ยงที่คอยดูผู้เข้ากรรมฐานคงเห็นอาการ เข้ามากระซิบบอกให้ทนอีกนิดนึงใกล้จะหมดเวลาแล้ว ผมนับ ๑ ถึง ๑๐๐ ในใจ คิดว่าถ้านับถึง ๑๐๐ เมื่อไหร่ ยังไม่หมดเวลาก็จะลืมตาและขยับตัว เพราะทนไม่ไหวจริงๆ พอนับไปสักพัก เสียงนาฬิกาเตือนหมดเวลาดังขึ้น ผมโล่งอก ค่อยลืมตาขยับขาที่ปวดอยู่มาก เหงื่อชุ่มตัวเลย เสื้อผ้าขาวที่ใส่เปียกหมด จากนั้นจึงแผ่เมตตาและแผ่ส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร นึกว่ากรรมฐานจะรั่วเสียแล้ว รอดมาได้อย่างหวุดหวิด

     หลังจากออกกรรมฐานช่วงนั้น ผมไม่ได้สังเกตเท้าของผม แต่เมื่ออาบน้ำตอนเย็น ผมมองดูที่หลังเท้าพบเป็นจุดแดงเป็นจ้ำๆ ๒-๓ จุด จู่ๆผมก็นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง (ในขณะที่อาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ) ซึ่งผมไม่คิดว่าจะจำได้ ในสมัยเด็กผมเคยจับปลิงควายมายืดเล่น โดยใช้ไม้เสียบลูกชิ้นขึงไว้ที่หัวและหาง ปักลงไปพื้นดิน จากนั้นเอาก้นบุหรี่ที่มียาเส้นมาโรยใส่ตัวปลิงแล้วยังปัสสาวะใส่มัน มันคงปวดแสบปวดร้อน ทรมานทุรนทุรายมากก่อนมันจะตาย ผมนึกไม่ถึงจริงๆว่าบาปกรรมที่ทำกับสัตว์เล็กๆ จะส่งผลให้เจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้ นับประสาอะไรถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ เราต้องรับวิบากกรรมมากเพียงใด คิดแล้วน่ากลัวที่สุด เหตุการณ์นี้ผมลืมไปหมดแล้ว ไม่นึกว่าความทรงจำนี้จะผุดขึ้นมาได้

     หลังจากนั้นผมแผ่ส่วนบุญกุศลให้เจ้าปลิงควายตัวนั้นอีกครั้ง ขออโหสิกรรมที่ทำไว้โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่าได้จองเวรกรรมกันอีกต่อไป

อาการประหลาดที่แสนจะทรมาน
     ช่วงแรกๆที่ไปปฏิบัติธรรม ร่างกายยังแข็งแรงพอสมควร การปฏิบัติกรรมฐานระยะ ๓-๔ ปีแรก รู้สึกว่าดี มีสติในชีวิตประจำวันมากขึ้น ช่วงนั้นหลวงพ่อยังไม่อาพาธมาก ยังเทศน์ได้เสียงใส บางครั้งหลวงพ่อเทศน์ชวนหัวเราะแฝงไปด้วยคติธรรมเสมอ

     ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๖ ผมมีอาการหอบหืดมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากงานที่มักพบแต่เรื่องเครียดอยู่ตลอด ระยะหลังผมมีอาการแปลก คือ กระสับกระส่าย หงุดหงิด คอแข็งกลืนน้ำลายยากเหมือนคนหายใจลำบาก หน้าท้องเกร็งแข็ง ใจสั่น มือซีดขาว เหงื่อออก ปวดปัสสาวะบ่อย แต่ปัสสาวะไม่ค่อยออก จะรู้สึกทรมานมากเหมือนคนหายใจไม่ได้ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกทรมานขนาดไหน ถ้าเวลานั้นแลกได้กับการตัดแขนตัดขาทิ้งแล้วให้หายจากอาการนี้จะยอมแลกทันที มักเป็นช่วงเวลากลางคืน ผมอยู่ในที่แคบๆไม่ได้ อยู่ห้องแอร์ไม่ได้ เหมือนเป็นโรคอุปาทานทางด้านอารมณ์ผสมอาการทางร่างกายที่ผิดปกติ เป็นแล้วทรมานมาก หลายครั้งคิดอยากฆ่าตัวตายหนีความทรมานนี้

     ครั้งหนึ่งได้กราบนมัสการขอเมตตาจากหลวงพ่อจรัญ เรื่องที่ผมมีอาการที่แสนทรมานนี้และเรื่องโรคหอบหืด ท่านให้สูตรยาสมุนไพรแก้หอบหืด คือใช้ต้นตำแยแมวเอามาทั้งต้นทั้งราก ล้างน้ำให้สะอาด เอามาโขลกตำในครก พร้อมน้ำซาวข้าว แล้วกรองเอาแต่น้ำมาดื่มรับประทานช่วยบรรเทาอาการโรคหอบหืดได้ ผมก็ดื่มอยู่พักใหญ่ อาการทุเลาลงบ้าง ส่วนอาการที่เป็น หลวงพ่อบอกว่ามันเป็น “กรรม” ให้หมั่นทำกรรมฐาน ผมได้พยายามทำเป็นประจำและแผ่ส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร

     ผมต้องเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อย มีวันหนึ่งไปทำงานที่จังหวัดภูเก็ต เดินทางโดยเครื่องบินเป็นไฟลท์กลางคืน ประมาณทุ่มเศษ กำหนดถึงประมาณเกือบ ๓ ทุ่ม ใช้เวลาบินประมาณชั่วโมงกว่า ระหว่างรอเครื่องออกอยู่บนเครื่องที่ดอนเมือง แอร์คอนดิชั่นบนเครื่องเสีย ๑ ตัว ทำให้ไม่ค่อยมีอากาศ อากาศร้อนและรู้สึกอึดอัดมาก คนบนเครื่องหาอะไรที่พอจะพัดได้ขึ้นมาโบกพัดกันใหญ่ ใจผมหวั่นว่าจะเกิดอาการ สักพักก็เป็นจริง เริ่มใจสั่น มือซีดขาว เหงื่อตก คอแข็งกลืนน้ำลายยาก เริ่มหายใจไม่สะดวก นั่งอยู่กับที่ไม่ได้ ผมนั่งตอนท้ายเครื่องเนื่องจากที่ค่อนข้างว่าง จนมีแอร์โฮสเตสผ่านมา ผมบอกว่าผมต้องการออกซิเจน

     แอร์โฮสเตสเห็นอาการแล้วรีบหาถังออกซิเจนพร้อมหน้ากากมาให้ผมสูดหายใจอยู่พักใหญ่ ช่วงนั้นมีสจ๊วตมายืนดูอยู่หลายคน อาการผมแย่มาก ระหว่างสูดออกซิเจนอยู่นั้น ผมอธิษฐานจิตว่าถ้ารอดชีวิตกลับไป ผมจะไปเข้ากรรมฐานอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเป็นเวลา ๗ วัน หลังจากที่อาการค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว แอร์โฮสเตสนำน้ำอุ่นมาให้ดื่มและหาลูกอมให้อม เมื่อซ่อมแอร์เสร็จก็ทำการบินไปภูเก็ต ไปถึงภูเก็ตประมาณ ๔ ทุ่มกว่า เลยเวลากำหนดไปประมาณ ๑ ชั่วโมง
หลังกลับจากภูเก็ตไม่นาน ผมจึงลาพักร้อนเพื่อไปเข้ากรรมฐานที่วัดอัมพวันเป็นเวลา ๗ วัน ตามที่ตั้งสัจจะไว้ ไม่ลืมอุทิศผลบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ตั้งแต่นั้นมาอาการยังเป็นๆ หายๆ มาตลอด

     ขณะจะเข้ากรรมฐานหลายครั้งมีอาการเกิดขึ้นมา ผมยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายภายในวัด และขอบารมีขอเมตตาจากหลวงพ่อจรัญ ขอให้อาการหายไปก่อนเข้ากรรมฐาน มิฉะนั้นจะไม่ได้สร้างบุญกัน สักพักอาการค่อยๆทุเลาลง ทันเวลาชั่วโมงเข้ากรรมฐานได้อย่างหวุดหวิด เป็นอย่างนี้อยู่หลายวันหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นวันละ ๑-๒ ครั้ง ในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนมีอาการอยู่เกือบทุกคืน ต้องชงยาหอมบำรุงหัวใจดื่มทุกคืน ขณะที่คนอื่นๆนอนกันหมด มีผมคนเดียวที่ยังไม่นอนและนอนไม่ได้ ต้องออกไปยืนอยู่ที่ระเบียงนอกห้อง ใช้ยาหม่องนวดคอ สูดดมและชงยาหอมดื่ม ทานยาแก้หวัด กว่าอาการจะหาย ผมจะนอนได้ประมาณตีสองตีสามทุกคืน ผมทรมานมากไม่รู้จะทำอย่างไร น้ำตาไหลทุกคืนเช่นกัน ได้นอนคืนละชั่วโมงสองชั่วโมง
เมื่อกลับมาจากวัดครั้งนั้น ผมเริ่มปฏิบัติกรรมฐานถี่ขึ้นโดยทำอยู่ที่บ้านทุกคืน ผมจะสวดมนต์ก่อน สวดเสร็จเริ่มเดินจงกรม หลังจากนั้นจะนั่งสมาธิ เมื่อออกจากสมาธิก็แผ่เมตตาและแผ่ส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง

     ผมพยายามพากเพียรทำกรรมฐาน และหมั่นสร้างบุญกุศลต่างๆ อาการประหลาดนั้นเริ่มจางไป นานๆจะเป็นที พอนึกขึ้นได้จะรีบหยุดคิดเรื่องอาการ พยายามเปลี่ยนอิริยาบถจากที่นั้นทันที เช่น ลุกเดินไปที่อื่น ทายาหม่องนวดหรือรีบรับประทานยาหอม หาเพื่อนคุย ไม่อยู่คนเดียว ซึ่งก็ช่วยได้มากทีเดียว

ทาน ศีล ภาวนา ทางแห่งบุญกุศล
     หลังจากตั้งจิตอธิษฐานสร้างความดีประกอบบุญกุศล พยายามลด ละ เลิก สิ่งที่เป็นอกุศลกรรมทั้งปวง หมั่นสวดมนต์ทำกรรมฐานทุกวัน อุทิศบุญกุศลให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณทั้งหลาย เทวดา เปรต เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งปวง อาการของผมดีขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งยังมีอยู่บ้างแต่รู้สึกว่าทนได้

     ผมยึดหลักการสร้างกุศล ๓ อย่าง คือ ทาน ศีล ภาวนา หลวงพ่อจรัญกล่าวไว้ว่า มีทานเหมือนเดินทางโดยเรือไปทางน้ำ ถึงจุดหมายช้าหน่อย แต่ยังดีกว่าไม่สร้างบุญกุศลใดๆเลย คนไทยเราชาวพุทธมักจะสร้างบุญจากทานกันเป็นส่วนมาก เช่น ตักบาตร ถวายสังฆทาน ผ้าป่า กฐิน ให้ของ ให้เงิน ช่วยเหลือสงเคราะห์ต่างๆต่อผู้คนทั่วไป หรือผู้ประสบภัยพิบัติ หรือพระสงฆ์ เป็นต้น

     ถ้ามีทานและศีลเปรียบเหมือนเดินทางโดยรถยนต์ไปทางบก จะเร็วกว่าทางน้ำมาก เพราะศีลเป็นบุญอีกขั้นหนึ่ง ยากขึ้นมาอีกหน่อย เพราะต้องอาศัยการฝึกฝนฝืนใจตนเอง โดยปกติศีลห้านี่แหละที่มนุษย์ควรยึดเป็นศีลขั้นต้นที่ทำได้ยาก ที่ต้องฝึกการลด ละ เลิก ยิ่งปฏิบัติตามข้อห้ามของศีลห้าได้ทุกข้อ และละเอียดประณีตได้มากเท่าไหร่ ความสมบูรณ์บุญกุศลก็จะทวีมากขึ้น (จิตของคนทั่วไปมักไหลลงสู่ที่ต่ำ การกระทำความดีเป็นสิ่งที่ต้องฝืนใจ เป็นคำที่หลวงพ่อจรัญพร่ำสอนอยู่เป็นประจำ) ถ้าทุกคนปฏิบัติและยึดมั่นในศีลห้า ประเทศชาติจะสงบร่มเย็น มีแต่สันติภาพ มีแต่ความเอื้ออาทร น้ำใจไมตรี ไม่มีขโมยโจรและไม่มีสงคราม

     มีครบทั้งทาน ศีล และภาวนา หลวงพ่อบอกว่าเปรียบเหมือนเดินทางโดยเครื่องบิน ไปทางอากาศถึงจุดหมายเร็วกว่าทางบก ทางน้ำ เพราะภาวนาเป็นการฝึกฝนทางจิตใจ ให้มีความสงบระงับจากกิเลสทั้งปวง โดยมีทานและศีลเป็นฐานช่วยส่งเสริมภาวนาให้สำเร็จโดยไม่ยากเย็นนัก หากจะมุ่งแต่ภาวนาโดยไม่มีทานและศีลเป็นฐาน ย่อมไม่สามารถฝึกฝนการภาวนาให้บรรลุผลได้ ดูแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยากนัก ต้องฝึก นับหนึ่งก่อนแล้วจึงก้าวไปเรื่อยๆ จนนับพันนับแสนได้

เป้าหมายของชีวิตและแนวทางปฏิบัติที่จะไปถึงเป้าหมาย
     เรารู้ชัดแล้วว่าการปล่อยชีวิตไปตามกระแสโลกที่มุ่งแต่เรื่องวัตถุนิยม ไม่มองย้อนเข้ามาดูตัวตนของเราอย่างจริงจัง มีแต่เรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์ อย่างที่หลวงพ่อกล่าวไว้ “จิตที่ปล่อยไปตามกิเลสจะไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ ฉะนั้นการฝืนใจยกระดับจิตให้สูงขึ้น ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม ด้วยความพากเพียรอย่างมีสติสัมปชัญญะนั้น ย่อมจะพาตัวเราให้ล่วงออกจากทุกข์ แก้ปัญหาของชีวิตได้” เราควรมาเริ่มที่สติปัฏฐานสี่ ฝึกสติให้รู้เท่าทันกิเลสที่มากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ โดยไม่ปรุงแต่ง

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.htmlหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›

ใส่ความเห็น