๑๙/๑๔ จิตศรัทธา

สมศักดิ์ ชูศรีขาว

ความศรัทธา สร้างกุศล ส่งผลดี
ให้มั่งมี สินทรัพย์ พอนับได้
ทุกข์ก็จาง ห่างโศก หายโรคภัย
กลับสุขใจ สดชื่น ทุกคืนวัน

    กระผมนายสมศักดิ์ ชูศรีขาว อายุ ๓๖ ปี อาชีพช่างซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ ขออนุญาตถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตที่ก้าวผิดไป เพราะความประมาทและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของกระผมเอง หากแม้นไม่ได้รับกระแสเมตตาธรรมจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม แห่งวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรีแล้ว เส้นทางชีวิตของกระผม คงไม่ได้พบกับความสุขและความสำเร็จ อย่างเช่นทุกวันนี้แน่นอน หลังจากเข้ารับกรรมฐานกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญแล้ว กระผมจึงรู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระผมเดินทางผิดพลาดมาก

    ประมาณปี ๒๕๔๑ จนถึง วันที่ ๙ พ.ค. ๒๕๔๔ เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตกระผมหันเหไปในทางที่ไม่ดี ปล่อยเวลาเสียไปเปล่าเกือบดึงตัวเองกลับไม่ได้ เพราะปี ๒๕๔๑ กระผมกินเหล้าเมาทุกวัน กระผมแต่งงานมีครอบครัวแล้วอยู่กันมาจนถึงอายุ ๒๘-๒๙ ปี ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียมาถึงครอบครัวเลย ความที่ไม่ได้สวดมนต์ไหว้พระ ทำให้การดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง แก้ปัญหาไม่เป็น เห็นผิดเป็นชอบ เวลามีปัญหานิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่อดทน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ก็ไม่ถูกต้อง กลางคืนก็ออกเที่ยวแทบทุกคืนเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความสุขแก้ทุกข์ได้ ปล่อยให้ภรรยาอยู่กับลูกเล็กตามลำพัง

    กระผมจะเข้าบ้านตอน ๖ โมงเช้า ตื่นมา ๕โมงเย็น เวลาช่างทำงานไม่ถูกใจหรือผิดพลาดนิด ๆ หน่อย ๆ กระผมก็จะดุด่าเขา ไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกใครทั้งสิ้น แม้บางครั้งก็ไม่เห็นลูกค้าอยู่ในสายตา เขาขอลด ๕ บาท ๑๐ บาทถ้าไม่พอใจก็จะตัดบทดื้อ ๆ ต้องถูกอารมณ์ของตัวเองจึงยุติได้ ยิ่งเวลาเมาเหล้าจ้องแต่หาเรื่องกับคนอื่น เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาของช่วงที่กินเหล้า

    ช่วงปี ๒๕๔๓ ได้ขยายสาขาร้านซ่อมไปอยู่ที่ ถ.ประชาอุทิศ ราษฎร์บูรณะ เปิดร้านอยู่ ๑ ปี แต่ต้องปิดตัวลงเพราะการทำตัวแบบนี้ หากคิดเป็นเงินที่สูญเสียไปก็ประมาณ ๔-๕ แสนบาท ไม่คิดรวมเวลาที่สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ นี่เฉพาะเงินสดที่จ่ายออกไป ไม่รู้จักคิดเสียดายค่าของเงิน อ้างว่าเดี๋ยวต้องหามาได้ใหม่ เป็นการขาดสติและประมาทกับชีวิตของตัวเองอย่างมาก

    คงเป็นบุญวาสนาที่ติดตัวมาแต่กาลก่อน ทำให้ชีวิตผมได้เข้าไปอยู่ในญาณวิถีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ เพราะต้นปี ๒๕๔๔ มีเจ๊เกศนี (จู) อยู่บ.สหชัยกิจการพิมพ์ ได้นำหนังสือสวดมนต์ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน มาให้สวดมนต์ ครั้งแรกที่เปิดอ่านดูก็สะดุดกับคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทันที

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านพูดว่า “อาตมาก็ตั้งตำราขึ้นด้วยสติบอกว่า” ผมก็มาสะดุดใจว่า เอ…หลวงพ่อองค์นี้สอนแปลก สอนให้ใช้สติ น่าจะดีแล้วสติเป็นยังไงกระผมก็ไม่รู้จัก แต่อยากมีสติอย่างที่หลวงพ่อพูดสอนไว้ กระผมก็ชวนภรรยาสวดมนต์ สวดมนต์เสร็จก็ทะเลาะกันเถียงกัน กระผมว่าต้องเป็นอย่างนี้ ภรรยาว่าต้องเป็นอย่างนั้นไม่ลงรอยกัน

    เมื่อเป็นเช่นนี้ ใจหนึ่งไม่อยากสวดแต่อีกใจหนึ่งก็อยากสวดต่อ เพราะคิดว่าคงดับความร้อนรุ่มของจิตใจตัวเองลงได้ และคงพบทางออกของปัญหาชีวิตได้ เพราะหลวงพ่อบอกไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า “สติบอกว่า” ก็เลยเป็นว่าสวดบ้างไม่สวดบ้าง ไม่ตั้งใจอย่างแท้จริงและเด็ดเดี่ยว แต่ก็ยังคงกินเหล้ากินเบียร์เหมือนเดิม พอเมาได้ที่ก็จะนั่งคิดคนเดียวว่า ทำไมหนอชีวิตต้องวุ่นวายอย่างนี้ เกิดความเบื่อหน่ายชีวิต เบื่อหน่ายครอบครัวอย่างมาก อยากหาความสงบสุขอย่างแท้จริงในชีวิต แต่ไม่รู้ว่าจะหาทางออกยังไง

    พอต้นเดือน พ.ค. ๒๕๔๔ ได้ตกลงจะจัดงานวันเกิดของกระผมเอง ในวันที่ ๑๒ พ.ค. กับทางร้านอาหารโดยการตั้งงบประมาณไว้ที่ ๘,๐๐๐ – ๑๐,๐๐๐ บาท พอถึงวันที่ ๙ พ.ค. เกิดความคิดใหม่ คิดได้ทันทีต้องหนีไปให้ได้ ต้องไปหาหลวงพ่อองค์นี้ให้พบและอยู่ศึกษาธรรมะกับท่านสักระยะหนึ่งแล้วค่อยกลับ เมื่อวางแผนแบบนี้แล้วก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าไว้พอสมควร มุ่งหน้าไปตามที่อยู่ในหนังสือ

    ไปถึงวัด ๔ ทุ่มกว่าเห็นคนลงมาอาบน้ำ (อาคารลานช้าง) เลยขออนุญาตเขาจอดรถแล้วนอนในรถ นอนไม่หลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างรบกวน เลยลุกขึ้นพนมมือตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ลูกมาดี ลูกมาหาหลวงพ่อ ลูกมาหาธรรมะเพื่อแก้ปัญหาชีวิตที่ลูกกำลังประสบอยู่ ขอให้ลูกได้พบธรรมะและหลวงพ่อด้วยเถิด สาธุ” อธิษฐานเสร็จนอนหลับอย่างสบาย ตอนเช้าก็เข้าไปสอบถามหลวงพี่รูปหนึ่ง ท่านก็บอกว่าให้ไปลงทะเบียนเข้าปฏิบัติธรรมตอน ๒ โมงเช้า เสร็จแล้วให้ไปรับประทานอาหารที่โรงอาหาร ได้เวลาก็ไปลงทะเบียน มีแม่ชีคนหนึ่งใจดีมากคอยให้คำแนะนำ ทราบชื่อภายหลังว่าท่านชื่อแม่ชีสมคิด

    เย็นวันที่ ๑๐ พ.ค. ๒๕๔๔ เป็นวันรับกรรมฐานและรับการฝึกสอนเป็นครั้งแรก ดีใจและตื่นเต้นมาก ด้วยเพราะยังไม่รู้จัก สติคืออะไร จิตคืออะไร นั่นเอง แต่ชอบบทอุทิศส่วนกุศลมาก มีบทอุทิศส่วนกุศลให้เปรตด้วย

    ช่วงเวลาพักได้ยินคนเขาพูดกันว่าพรุ่งนี้หลวงพ่อจะลงมาเทศน์ รู้สึกดีใจมาก คิดว่าจะได้เห็นหลวงพ่อก็คราวนี้แหละ พอวันที่ ๑๒ พ.ค. ๒๕๔๔ ก็ตั้งจิตอธิษฐานอีก “หลวงพ่อครับ วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของลูก นับตั้งแต่นี้ไปลูกขอตั้งใจทำแต่ความดี ขอเป็นลูกที่ดีของหลวงพ่อ เป็นคนดีของทุก ๆ คน” หลวงพ่อให้กรรมฐานตอนหนึ่งว่า “ท่านที่เกิดวันนี้ดีมากแล้ว วันเกิดของเราอย่าไปกินเหล้า เป็นวันที่แม่เราทรมานมาก กว่าจะคลอดได้ กว่าเราจะรอดเป็นคนแม่บางคนต้องเอาชีวิตมาทิ้งเพราะคลอดเราแท้ ๆ เราต้องสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติกรรมฐาน แล้วอุทิศบุญกุศลให้แม่จึงจะถูก คนที่กินเหล้าในวันเกิดจะอายุสั้นหรือมักได้รับอุบัติเหตุเสมอ”เป็นคำสอนที่ประทับใจผมมาก เพราะผมมาปฏิบัติธรรมตรงกับวันเกิดของผมพอดี เหมือนกับท่านรับรู้คำอธิษฐานของผม แล้วหลวงพ่อก็เทศน์เรื่องอื่นต่อไป

    กระผมก็อยู่ปฏิบัติต่ออีกหลายวัน และก็เข้าไปปฏิบัติอีก ๔ ครั้ง ในเวลาต่อมาพาช่างที่ร้าน พาพ่อ-แม่ ลูกค้า ญาติ ๆ อีกทั้งคนที่รู้จักและไม่เคยรู้จักไปปฏิบัติกรรมฐานบ้างหรือวันอาทิตย์ไปกราบหลวงพ่อบ้าง พิมพ์หนังสือสวดมนต์แจกลูกค้าหรือญาติ ๆ ในงานศพบ้าง ผลจากการเข้ารับกรรมฐานของคนอื่นที่ผมพาไป พบว่า ๗๐ % เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ส่วนตัวของกระผมเริ่มรู้สิ่งต่าง ๆ มากขึ้น รู้จักจิตคืออะไร? เกิดขึ้นที่ไหน ? รู้จักการกำหนดจิตเมื่อมีเวทนาเกิดขึ้นบ้าง แม้ยังไม่ถึงขั้นละเอียดมาก แต่ก็ยังดี ได้รู้จักการปฏิบัติตามแนวทางสติปัฎฐาน ๔ อันเป็นทางสายเอกที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงวางไว้ให้เราปฏิบัติตาม อันเป็นเส้นทางสู่ความหลุดพ้นแห่งความทุกข์ทั้งปวง

    ความคิดดี ๆ ผุดขึ้นมามากมาย นี่แหละตัวปัญญา ดังพระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนไว้ว่า ปัญญานั้นเกิดขึ้นได้ ๓ ทาง คือ

ปัญญาเกิดจากการฟังอย่างตั้งใจ (สุตมยปัญญา)
ปัญญาเกิดจากการตั้งใจคิดอย่างสงบ (จินตามยปัญญา)
ปัญญาเกิดจากการภาวนาให้ผุดขึ้นมาเอง (ภาวนามยปัญญา)

    ปัญญาที่ ๓ นี่แหละที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเรียกว่า มหาปัญญา คือปัญญาที่ยิ่งใหญ่มาก ใช้แก้ปัญหาได้ทั้งปวงและแนวทางในการดำเนินชีวิตของปุถุชน อย่างท่าน ๆ เรา ๆ โอกาสจะหลุดพ้นจากกองทุกข์มีน้อยมาก เพราะต้องอยู่กับครอบครัว สภาพแวดล้อมต่าง ๆ แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็มีวิธีให้เราปฏิบัติ และเห็นผลลัพธ์ในทันตาเห็น

    อนึ่งการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ กับการสวดมนต์บทนี้ มีอานิสงส์มากมาย เท่าที่กระผมประสบมาด้วยตนเองในระยะเวลา ๓-๔ ปี คือ

    ๑. ทำให้กระผมรู้จักและเข้าใจคำว่า สติ ปัญญา อย่างถ่องแท้ละเอียดมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่คำนี้ใคร ๆ ก็ใช้พูดกันสอนกันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ที่เข้าใจและนำเอาสติออกมาใช้มีน้อยมาก สติ คือเพื่อนแท้ เพื่อนแท้ ๆ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้น อยู่คู่กับจิตเรามานานแสนนาน เขาคอยบอกคอยสอนให้ชีวิตเราเดินทางไปในทางที่ดีตลอดเวลา แต่เราไม่เคยสนใจเขาเอง กลับเอาสติไปทิ้ง ไปสนใจสิ่งที่ไม่ถูกต้อง (ผีเข้า เจ้าทรง) ทั้ง ๆ ที่สุดท้ายก็ช่วยเราไม่ได้ มีเพียงสติเท่านั้นที่จะช่วยแก้ปัญหาให้เราได้ และได้อย่างถูกต้องด้วย

    ๒. คุณพ่อของกระผมอายุราว ๆ ๗๐ ปี จากเป็นคนชอบกินเหล้า เล่นการพนัน ชนไก่ มุทะลุดุดัน ใจร้อน ไม่ยอมใครง่าย ๆ หลังจากที่ผมพาไปเข้ารับกรรมฐานปฏิบัติธรรมประมาณ ๕ ครั้ง ทำให้คุณพ่อเกิดศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จนถึงขั้นสละทุกอย่างขอบวชในพระพุทธศาสนาจนถึงทุกวันนี้ ที่วัดป่าบ้านตาเตน ต.แกใหญ่ อ.เมือง จ.สุรินทร์ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้มีหลาย ๆ คนเคยพูดว่า “ไม่มีใครทำให้คุณพ่อผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้”

    ๓. คุณแม่ของแฟนกระผม (แม่หยู่ ชนะโยธา) อายุ ๗๐ ปี ท่านได้หาบปุ๋ยไปใส่ผักทำให้เส้นที่ขาพลิก ขยับไม่ได้ เวลาขยับจะปวดมาก ปวดถึงสะโพก จะไปไหนมาไหนต้องคลานเอา ผมพาท่านไปหาหมอหลายที่ก็ไม่ดีขึ้น มีคุณหมอเอกชนแห่งหนึ่งบอกกับท่านว่า “ถ้าไม่ผ่าต้องตายภายใน ๓ เดือนแน่นอน” คุณแม่บอกว่าคุณหมอพูดอย่างนี้จริง ๆ กลับมาท่านก็เหงา นอนซมไม่อยากพูดคุยกับใครแม้กระทั่งลูกหลาน ขาที่เจ็บก็ลีบลงเรื่อย ๆ ส่วนหมอทาง ร.พ.ศรีนครินทร์ ท่านก็บอกคล้ายกันว่าต้องผ่าอย่างเดียวถึงจะดีขึ้นได้ แต่ไม่รับรองผลว่าจะหายเป็นปกติ ๑๐๐ % แล้วก็ฉีดยาและให้ยามาทานเท่านั้น กระผมเห็นสภาพท่านเป็นอย่างนั้น นึกสงสารท่านมาก ผมก็ได้แต่บอกแม่ว่า “แม่พยายามสวดมนต์เยอะ ๆ นะ ไม่มีใครช่วยแม่ได้จริง ๆ มีแต่แม่ต้องช่วยตัวเองเท่านั้น การสวดมนต์และการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นการรักษาโรคกรรม และเราต้องรักษาด้วยตัวเราเอง ผู้อื่นรักษาได้ไม่ดีเท่าตัวเราหรอก” ตอนนั้นแม่เดินจงกรมไม่ได้ ผมก็บอกให้ตั้งสมาธิสวดมนต์อย่างเดียว เสร็จแล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลออกไป ผมก็จะปฏิบัติช่วยแม่ด้วย (ตอนนั้นแม่เคยมาเข้ารับกรรมฐานบ้างแล้ว) แล้วแม่ก็คลานไปที่โต๊ะหมู่ อยู่ชั้นบนซึ่งเป็นบ้านไม้ ๒ ชั้น สวดมนต์ก่อนนอนอย่างนี้ตลอด ผ่านไป ๒-๓ เดือน อาการเริ่มดีขึ้น อาการปวดมาก ๆ เริ่มหายไป พลิกขาได้ เริ่มใช้ไม้เท้าค้ำแล้วลุกได้ หัดเดินได้ ก็ไปหาหมอที่ ร.พ.ศรีนครินทร์อีก หมอก็บอกอาการดีขึ้นมากเลยนะ และไปให้หมอตรวจอีก ๒-๓ ครั้ง คุณหมอบอก ยายไม่ต้องมาอีกก็ได้ อาการดีเป็นปกติแล้ว ทุกวันนี้ขาก็หายลีบ เหมือนเดิมปกติ อาการปวดนั้นหายหมด

    ๔. ภูมิลูกชายกระผมเรียนอยู่ชั้น ป.๖ โรงเรียนวัดบุคคโล และน้องเหน่งหลานเรียนอยู่ชั้น ป.๕ จ.ขอนแก่น เด็กทั้งสองคนสวดมนต์ประจำ ผลการเรียนดีขึ้น บอกอะไร สอนอะไร ก็เข้าใจง่าย เป็นเด็กไม่ดื้อ (ตรงตามหลวงพ่อสอนเลย) ส่วนบีน้องสาวคนเล็ก เรียนอยู่อนุบาล ๓ เป็นเด็กฉลาด เรียนรู้เร็ว ชอบสวดมนต์ไหว้พระ เวลาจะไปโรงเรียนและกลับจากโรงเรียนเขาต้องไหว้ บางทีก็กราบพ่อแม่และรูปหลวงพ่อก่อนเสมอ ตอนเช้าเขาต้องใส่บาตรก่อนเข้าไปในโรงเรียน

    เท่าที่กระผมได้เล่าให้ท่านฟังมานี้ เป็นเพียงบางส่วนที่เกิดขึ้นมาด้วยอานิสงส์ของการสวดมนต์ไหว้พระ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น ที่เราปฏิบัติแล้วส่งผลถึงญาติพี่น้องได้ แม้เป็นเพียง ๓ ปีแรกของการปฏิบัติ ก็ยังดีกว่า ๓๓ ปีที่ผ่านมาแล้ว โดยที่ผมไม่เคยรู้จักอะไรมาก่อนเลย แม้กระทั้งสติและปัญญา (จริงอย่างที่หลวงพ่อสอนว่า คนไม่รู้อะไรมาก่อนเลยปฏิบัติได้ผลเร็ว) นับจากนี้ไปกระผมขอตั้งจิตอธิษฐาน จะเดินบนเส้นทางสายเอกนี้ นั่นคือ สติปัฏฐาน ๔ ไปจนกว่าจะสุดสิ้นทางเดิน จะกี่ภพกี่ชาติก็ตาม และขอมีครูบาอาจารย์เพียงองค์เดียวเท่านั้น คือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม ตลอดไป

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›