๒๐/๕ อยู่อย่างมีความสุข

พระธรรมสิงหบุราจารย์

    ขอเจริญพร ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ วันนี้เป็นวันธรรมสวนะ วันพระขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๐ ใกล้จะถึงวันสารทและใกล้เวลาที่จะออกพรรษา เหลทอเวลาอีกเดือนเศษเท่านั้น วันนี้เป็นวันฟังธรมของพุทธศาสนิกชน อุบาสก อุบาสิกา ทุก ๆ ท่านผู้ใคร่ธรรมสัมมาปฎิบัติ เราไม่ควรเว้นว่างเหินห่างวันพระ เหมือนน้ำย้อยบอกตาลทีละหยดก็สามารถเต็มกระบอกได้ แต่น่าเสียดาย บางท่านเกิดทุกข์กายทุกข์ใจ ไม่มีความสุขในยุคโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบัน ได้มาแสวงหาความสุขเพียว ๓ วัน แล้วก็จากไป แล้วก็ไปประสบทุกข์อีกเป็นเวลาแรมเดือนก็ยากอยู่ที่จะมาหาความสุขในวันพระ แม้แต่ชั่วโมงเดียวก็หายาก

    แต่เราพากันหาแต่ความยุ่งยาก หาแต่ความสุขเพียงหุตา มันก็ยุ่งยากและวุ่นวายตลอดกาล เราจะมีความสุขในยุคปัจจุบันก็ยาก มาคิดพิจารณาอย่างนี้แล้ว ไม่มีอะไรจะทำให้ชีวิตมีค่าเวลามีประโยชน์ ยิ่งไปกว่าการเจริญวิปัสสนา ถ้าเจริญวิปัสสนาแล้วจะทำให้ชีวิตมีค่าราคาแพง เวลาก็เป็นเงินเป็นทอง เงินจะไหลนองทองจะไหลมาเพราะชีวิตท่านมีค่า เวลาท่านมีประโยชน์

    การมานั่งวิปัสสนาเพียง ๓ วัน แล้วท่านจะได้อะไรยังไม่ถึงตัวสุข ยังไม่ถึงตัวทุกข์แท้ ก็ยังมาสามารถจะแก้ปัญหาได้ การที่ท่านไม่อาจมาเจริญกรรมฐานกันได้ทุกคน ก็เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีบุญวาสนาไม่เท่ากัน มีปัญญาก็ไม่เท่ากัน วิชาความรู้ก็ไม่เหมือนกัน แตกต่างกันด้วยรูปร่างหน้าตาในรูปธรรมแล้ว ยังมาแตกต่างกันในเรื่องจิตใจด้วย อย่างที่เขาว่าไม่ไผ่ยังต่างปล้อง พี่น้องยังต่างใจ พี่น้องท้องเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน

    พระในวัดอัมพวันก็เช่นเดียวกัน พระบางรูปหนักไปทางมหานิยม บางรูปหนักไปทางคงกระพัน ก็จึงไปแสวงหาเครื่องรางของขลังตามวัดกันตามชอบ แต่น่าจะถามตัวเองว่าเรามีอะไรดีบ้างในตัวเรา ไม่ต้องไปหาของดีจากพระตามวัดว่าพระท่านมีคงกระพันไหม มีหวยไหม ให้หวยอำนวยพร พรมน้ำมนต์ให้หน่อยได้ไหม น่าจะแสวงหาของดีในตัวเอง เอาพระมาไว้ในตัวเอง พระที่มาบวชวีดอัมพวัน ไม่ใช่จะดีทุกองค์ เพราะต่างเวรต่างกรรม ต่างถื่นต่างฐาน ต่างบ้านต่างเมืองกันมาทั้งนั้น ไม่เหมือนกัน แต่ต้องการความสุข ไม่อย่ากมีความทุกข์เหมือนกัน เป็นความจริงของชีวิต ท่านอย่าคิดว่าเราจะยังไม่ตายนะ ตามสถิติผู้ชายโดบเฉลี่ยอายุสั้นกว่าผู้หญิง ๖ ปีด้วยนะ บางบ้านเราจะเห็นว่ามีแต่โยมผู้หญิงอยู่กันเป็นแถว โยมผู้ชายตายหมด

    ในยุคปัจจุบันท่านจะอยู่อย่างไรถึงจะมีสุข บ้านเมืองก็เกิดกลียุค ข้าวยากหมากแพง ข้าวของก็แพงขึ้นไปตามลำดับ

    วิธีแก้ไขคือต้องทำให้ตัวเองราคาแพงเหมือนของที่มันราคาแพงในตลาดนั้น ด้วยการขยันหมั่นเพียรและประกอบกิจหน้าที่การงาน โดยเพื่มความสุขในการทำงานให้มากขึ้น ถอนความทุกข์ทั้งหลายออกจากใจเสีย ปกติคนเราก็มีทุกข์ประจำอยู่แล้ว จะเอาทุกข์จรมาทำไมอีก

    การจะอยู่อย่งามีความสุขในยุคปัจุบันนี้ ต้องพยายามสร้างคุณภาพให้ชีวิต สร้างคุณธรรมให้เกิด ชีวิตจะมีค่าต้องเริญวิปัสสนาเท่านั้นถ้าท่านไม่เจริญวิปัสสนาชีวิตท่านจะไม่มีค่า เวลาของท่านจะไม่มีประโยชน์เลย การไปช้อปปิ้งที่โน่น ช้อปปิ้งที่นี่ เที่ยวที่โน่นเที่ยวที่นี่ตลอด ไม่ประหยัด ทั้งทรัพย์และเวลา ชีวิจท่านจะมีความสุขได้อย่างไร

    การเจริญกรรมฐานนั้นหาคนปฎิบัติได้ยาก บอก “ มาเจริญกรรมฐานสัก ๗ วันได้ไหม ตัดใจมาหน่อยได้ไหม ”ก็มาต่อรองหลวงพ่อว่า “ สัก ๒ วันได้ไหม ” “วันเดียวได้ไหม ” นี้ไม่เห็นแก่ประโยชน์ที่เป็นความดีของตัวเองเลย จะสร้างความดียังมีขอต่อรองอีก อยากได้ดีแต่ไม่สร้างความดี อยากให้ลูกได้ดี อยากให้สามีเป็นคนดี อยากให้ภรรยาเป็นคนดี แต่ไม่สร้างความดี สร้างแต่ความชั่วร้ายกัน โอกาสที่จะได้ทำดีมีความสุขจึงไม่มีเลย

    วันพระนี้ ท่านลองไปดูตามวัดซิว่ามีคนเข้าวัดไหม ไม่มีหรอก เขาไปเที่ยวกัน ลิมวันพระ ลืมของดี ลืมความสุข แต่อยากได้ความสุขไม่ต้องการทุกข์ แต่ท่านวิ่งไปหากองทุกข์ วิ่งไปหาหนี้สิน วิ่งไปหาหายนะ อยากนั่งกรรมฐานเพียง ๓ วัน เดินจงกรมยังไม่ได้เลย กลับบ้านแล้ว ไม่เห็นความจริงเลย คนเรามันแย่ลงไป จึงหาความสุขในยุคปัจจุบันไม่ได้ เรามาอยู่ร้อนนอนทุกข์กันแท้ ๆ ไม่มีเหาก็หาเหาใส่หัว ไม่มีอะไรก็หาอะไรใส่ตัว ความดีจึงหาอยากมาก ทำได้ยากมาก แต่ความชั่วทำได้ง่าย เหมือนล่องเรือไปตามสายน้ำ แต่ทำความดีเหมือนพายเรือทวนน้ำ มันฝึนใจ เพราะจะปล่อยไปตามอารมณ์ตามใจตัวของท่านไม่ได้ ความดีต้องฝืนใจ แต่ถ้าท่านมีขันติความอดทน ฝืนใจได้แล้วท่านจะพบธรรมะพบดวงใจใสสะอาดในตัวท่าน หกาฝืนใจไม่ได้ ปล่อยไปตามอารมณ์ตามใจของตนแล้ว ท่านจะพบแต่หายนะ ท่านจะไม่พบความรู้ความจริงของชีวิต อาตมาเคยพูดมาแล้วว่า ผู้หญิงที่น่าเกลียดคือผู้หญิงที่ตามใจตัว ผู้ชายที่น่ากลัวคือผู้ชายไม่รู้จักเกรงใจคน

    การเจริญกรรมฐานทำให้เดินทางไม่พลาดผิด เรียกว่าชีวิตมีค่าต้องเจริยวิปัสสนาเท่านั้น ถ้าไม่เจริญวิปัสสนาชีวิตจะด้อยค่า จะไม่มีค่า จิตใจไม่รุ่งเรือง จะมาสามารถทำให้ตัวเองกลายเป็นเศรษฐีได้ ถ้าเจริญวิปัสสนาชีวิตท่านจะมีค่าจะรุ่งเรืองวัฒนาสถาพร จะมีความสุขในโลกปัจจุบันนี้แน่นอนเวลาก็จะมีประโยชน์ไปหมด หายใจเข้าก็มีประโยชน์ หายใจออกก็มีประโยชน์ งานการทุกชนิดตามเวลาที่หมดไปก็มีประโยชน์ทั้งนั้น ถ้าท่านเข้าใจวิธีหาความสุขอันนี้ ต้องเจริญกรรมฐาน ไม่หายใจทิ้ง แต่มีความสุขด้วยการมีสติสัมปชัญญะ ทุกลมหายใจ ปอดก็ดี ร่างกายก็สมบูรณ์ สุขภาพอนามัยก็ดีหมด

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จิตสำคัญมาก การเจริญกรรมฐานต้องการให้จิตดีมีปัญญา เรียกว่าเจริยวิปัสสนา แต่ท่านมาเพียง ๒ วัน ๓ วัน ท่านจะไม่ได้อะไรเลยนะ บางคนนะ อาตมาบอกว่า “ เดี๋ยวฟังเทศน์หน่อยนะ วันนี้จะพูดเรื่องยุคปัจจุบันให้ฟัง ” ตอบว่า “ ไม่ว่างหรอก เดี๋ยวจะต้องรีบไป นัดแฟนไว้ ” พวกที่นั่งอยู่นี่ไม่ได้นัดแฟนไว้บ้างหรือ รักษาระเบียบดีมาก กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำความเพียรมาก

    การที่ต้องมีสติในการเจริญกรรมฐาน เช่น สติปัฎฐาน ๔ ยืนหนอ ๕ ครั้ง ขวาย่าง ซ้ายย่าง ตั้งสติ อายตนะ ธาตุอินทรีย์ มีปัญญา กำหนดสัมผัสจิตให้รู้สติปัญญาในตัวเอง ไม่ต้องไปรู้ปัญญาของคนอื่นเขา ต้องการให้เรามีปัญญามีสติแก้ไขปัญหา
๑.ให้เราสวย
๒.ให้เรารวย
๓.ให้เราดี
๔.ให้เรามีปัญญา
๕.ให้เราแก้ปัญหาได้

    ถ้า ๕ ข้อนี้ได้ ท่านได้มรรคผลขั้นต้น ทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งดี มีปัญญา และแก้ไขปัญหาได้ ก็ครบวงจรในเรื่องการเริญกรรมฐาน สามารถแก้ไขปัญหาชีวิตแก้กรรมได้ เราสร้างเวรสร้างกรรมอะไรมาจะได้ไปแก้ได้ ท่านมานั่งกันแค่ ๓ วัน จะไปแก้ได้หรือ สร้างความดีน้อยหน่วยกิจเหลือเกิน แต่ความไม่ดีหน่วยกิตมากกว่า มันจะบวกลบคูณหารออกมาอย่างไร ท่านน่าจะคิด แต่ท่านไปห่วงงานของท่านและห่วงทุกข์จรนอกบ้าน เลยก็ไม่ได้สร้างความดีให้แก่ตัวเอง ขอฝากไว่เป็นข้อคิดว่า น่าจะสร้างความดีให้แก่ตัวเองก่อนที่จะไปช่วยคนอื่นเขา ช่วยตัวเองไม่ได้แล้วไม่ต้องไปหวังพึ่งคนอื่นเขาอีกต่อไปหรอก พึ่งคนอื่นไม่ได้แน่นอน

    คนที่มาที่วัดกันมากมายมีแต่ความทุกข์ จึงได้แนะนำเพื่อจะลบล้างความทุกข์ออก เอาความสุขมาใส่ใจบ้างความสุขของเรามันเกิดผลจากตัวเราเอง ไม่ใช่ความสุขที่เกิดจากกินเหล้า เล่นการพนัน เล่นไพ่ ซึ่งไม่มีประโยชน์แต่ประการใด

การอยุ่อย่างมีความสุขในยุคปัจจุบันนี้ ขอแยกออกเป็น ๓ ส่วน
    หนึ่ง  อยู่อย่างมีความสุข สุขของใคร ? สุขขนาดใหน ?
    สอง   ยุคโลกปัจจุบันเป็นอย่างไร ?
    สาม  หลักธรรมอะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับยุคนี้

    เราเป็นชาวพุทธก็ต้องยึดหลักตามแนวพระพุทธศาสนา เป็นแนวดำเนินชีวิตของเรา อยู่อย่างมีความสุขในที่นี่ก็คือ สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ บางคนมีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศชื่อสียง แต่ไม่มีความสุข ทีทุกสิ่งทุกอย่าง บ้านก็ใหญ่โต รถก็หรูหรา ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ดีมาก แต่ไม่มีความสุข ทำอย่างไรหรือเราจะอยู่อย่างมีความสุข ไม่ใช่สุขแต่กายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสุขทางใจด้วย

    ครั้งอดีตปู่ย่าตาทวดเรียนหนังสือที่วัด เข้าวัดเข้าวา มีความสุข ไม่มีความทุกข์เท่าไรนัก เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงไปมากเลย คนเปลี่ยนแปลงตามสงัคมไม่ทันก็อาจจะพาตัวให้เดือดร้อนวุ่นวาย ถ้าเรามีคุณธรรมเราก็จะอยู่อย่างมีความสุข มีธรรมะ ปฎิบัติธรรมะ การที่เราจะมีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี เราจะต้องบริหารกายและจิตด้วยการเจริญพระกรรมฐานให้ถูกต้อง จึงจะมีความสุข

    บริหารกาย คือรู้จักรับประทานอาหารให้ภูกสุขลักษณะ รู้จักพักผ่อนตามสมควร รู้จักรักษาสุขภาพ นี้คือสุขกาย

    ส่วนสุขใจ นั้นต้องรู้จักประพฤติธรรมปฎิบัติกรรมฐาน รู้จักกำหนดจิต สุขหนอ ทุกข์หนอ โกรธหนอ เสียใจหนอ ดีใจหนอ เป็นต้น

    ถ้าทำได้ทั้งสองอย่างนี้ เราจะพบทั้งสุขกายและสุขใจบางคนนั้น สุขอยู่คนเดียว อาจจะอยุ่ในดงในป่าหรือสุขคนเดียวอยู่ที่บ้าน ไม่ได้เหลียวแลความสุขของญาติพี่น้องหรือเพื่อนมนุษย์ อย่างนี้สำหรับชาวพุทธถือว่า ยังไม่เพียงพอ ยังใช้ไม่ได้ ชาวพุทธไม่ควรหยุดอยู่แค่นี้ เราจะต้องเพิ่มไปถึงความสุขของญาติพี่น้องลูกหลาน แล้วก็ชาวโลก โดยเฉพาะเพื่อนร่วมชาติต้องมีความสงบสุขด้วย

    การที่เราจะสุขทั้งทางกายและใจ และให้ญาติพี่น้องของเรามีความสุขรุ่งเรืองด้วย แล้วก็เผื่อแผ่ความสุขไปยังเพื่อนร่วมชาติและร่วมโลกของเราด้วย ก็ต้องดำเนินชีวิตตามหลักของพระพุทธศาสนาตามที่พระพุทธเจ้าสินคือ ทาน ศีล ภาวนา นั้นเอง

    คนที่ไม่ปฎิบัติธรรมก็ไม่รู้ว่าความสุขแท้เป็นอย่างไร จะไปช่วยคนอื่นเข้าได้อย่างไร การหวังความสุขในส่วนรวมให้แก่ญาติพี่น้องลูกหลานของเราก่อน คือ ลูกหลานส่งเรียนหนังสือ ให้ช่วยกันอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มีน้อยคนมาก เราควรจะมีความสามารถเข้าไปสู่ชาวโลกโดยส่วนรวม คือช่วยสังคมบ้าง เช่น ไปตั้งศูนย์เวฬุวันช่วยสังคมอย่างนี้ นี่แหละเราต้องช่วยส่วนรวม ช่วยชาวโลก ช่วยลูกหลานชาติไทย แต่ถ้าเราว่ายน้ำไม่เป็นก็จะไปช่วยคนอื่นไม่ได้ เดี๋ยวจมน้ำตาย ทั้งคู่ ชาวพุทธนั้นมีเมตตา ไม่ใช่เพียงต่อเพื่อนมนุษย์เท่านั้น แต่รวมถึงสัตว์ทั้งหลายทุกภพ ทุกชาติ ทุกกำเนิด ซึ่งพระพุทธศาสนายอมรับว่ามีอยุ่จริง เราก็มีเมตตาหวัง ให้เขามีความสุขด้วย

    คำว่า โลกปัจจุบัน หรือ โลกโลกาภิวัฒน์ นั้น คือโลก + อภิวัตตน์หรือพัฒนา อภิ แปลว่า ยิ่งใหญ่ทั่วถึง วัตตน์ตัวนี้แปลว่าความเป็นไปหรือความเจริญ ฉะนั้นโลกาภิวัฒน์ คือ ความเป็นไปหรือความเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน คือไม่ใช่รุ่งเรืองอย่างเดียว แต่เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อมก็มีสู่ความเจริญก็มี ส่วนยุคแห่งสารสนเทศ คือยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร คือ ทุกคนทั่วโลกสามารถรับข้อมุลข่าวสารกันถึงทั่วโลกได้

    สมัยก่อนนั้น ความเจริญทางด้านจิตใจเหนือความเจริญทางด้านวัตถุ เราจะเห็นได้ว่าปู่ย่าตาทวดไม่ค่อยจะมี ปัญหาเดือดร้อนเพราะเข้าวัดเสมอ ลูกหลานดีหมด แต่ยุคปัจจุบันนี้ความรุ่งเรืองทางด้านวัตถุเหนือความเจริยทางด้านจิตใจมาก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าโลกเปลี่ยนแปลงมากเหลือเกิน ทั้งในด้านคมนาคม เทคโนโลยีสมัยใหม่ และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ประชาชนซึ่งเคยอยู่อย่างสงบสุขตาม ธรรมชาติ ปัจจุบันจะอยู่อย่างนั้นไม่ได้แล้ว เพราะโลกมันแคบลง การติดต่อคมนาคมสะดวกขึ้น โรคภัยไข้เจ็บมาง่ายขึ้น ชาวโลกมาสู่ประเทศไทยมากขึ้น การหลั่งไหลทางวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาสุ่ประเทศไทยเรามาก จนวัฒนธรรมบางอย่างของเราต้องเสื่อมลงไปอย่างน่าเสียดาย ความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายนั้นหมดไป ไม่เหมือนแต่โบราณแล้ว คนไทยเราเดี๋ยวนี้อยู่อย่างฟุ้งเฟ้อตามความเจริญของโลก คนในโลกปัจจุบันนั้นเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ มากขึ้น มีปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การจราจรวุ่นวาย เกิดเป็นโรคจิตโรคประสาท ฆ่าตัวตายกันเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะคนหนุ่ม คนสาว บางคนก็ไม่อยากจะฆ่าตัวตายหรอก แต่ต้องตายเพราะถูกรถชนก็มาก คนที่ตายจากการถูกรถชนคือคนหนุ่มคนสาว โดยเฉพาะคนหนุ่มตายมากกว่าคนสาว เพราะมอเตอร์ไซค์มีมากเหลือเกิน ตายมากว่าโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ อีกหลายโรค แม้แต่โรคเอดส์ที่ว่ายิ่งใหญ่และรุนแรงนักคนก็ยังมาตายเท่านี้ ลองดูซิว่า วันหนึ่งคนตายเพราะถูกรถชนเท่าไร และตายเพราะโรคเอดส์เท่าไร รถชนนี้เพราะความประมาท เพราะสุราและยาเสพติด

    รถที่ชนกันนั้น ๒๐ เปอร์เซ็นต์เกิดจากกินเหล้า มักจะเกิดในตอนเย็น เพราะคนมักจะกินเหล้าตอนเย็น คนที่ตายมากและตายไวก็คือผู้ชาย ผู้หญิงตายช้ากว่าผู้ชายราว ๖ ปี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า ทั้ง ๆ ที่มีสรีระร่างกายเท่า ๆกันทั้งนั้น ก็เพราะว่าผู้ชายหาเรื่องตายมากกว่าผู้หญิง นอนก็ดึก เที่ยวส่ำส่อน หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ตีรันฟันแทงมีเรื่องอะไรก็ออกหน้า

    โลกสมัยใหม่มีความสับสนวุ่นวายและมีการเปลี่ยนแปลงถ้าเราปรับตัวไม่ทันความเจริญความเปลี่ยนแปลงของโลกเราจะอยุ่อย่างมีความสุขไม่ได้ ในฐานะที่เรานับถือพระพุทธศาสนา ควรจะนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนาของเรานี้มาประยุกต์ใช้ให้ได้ นับถือพระพุทธศาสนา เราพึ่งพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกให้พึ่งพระธรรม เราขอพึ่งพระธรรม เราขอพึ่งพระสงฆ์ พระสงฆ์บอกให้พึ่งพระธรรม เราขอพึ่งพระธรรม พระธรรมก็บอกให้พึ่งตนเอง ที่มองว่าเหมือนจะโยนกันไปโยนกันมานั้น เพราะคำตอบมีอยู่ว่า ถ้าเราไม่ปฎิบัติด้วนตนเองแล้ว จะมีพระธรรมไว้ทำไม เหมือนเรามียาไว้ ยามป่วยไข้กลับไม่กินยา แล้วมีไว้ทำไม เหมือนกับเรามีร่ม แต่พอฝนตกแดดออกเราก็ไม่ได้ยกร่มขึ้นกางเลย ถือร่มไว้ทำไม เรานับถือพระพุทธศาสนาเมื่อความทุกข์เดือดร้อนเกิดขึ้น เราไม่นำหลักธรรมมาปฎิบัติ เช่น การปฎิบัติกรรมฐานซึ่งแก้ไขปัญหาได้ทุกชนิด นับถือจะมีประโยชน์อะไรเล่า ถ้าเราไม่ปฎิบัติ ก็นับถือกันไปเฉย ๆ ไม่มีประโยชน์แต่ประการใด หากเราขอพึ่งพระธรรมแต่ก็ไม่ปฎิบัติตามธรรม

    เพราะฉะนั้นในยุคปัจจุบันนี้เราจะอยู่อย่างมีความสุขได้อย่างไร คำตอบก็คือ ต้องอาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา การพึ่งพระธรรมนั้นต้องพึ่งตนเอง คือ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ถึงพระธรรมก็บอกให้เราทำเอง ถ้าเราไม่ทำพระธรรมก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอยู่อย่างมีที่พึ่งเถิด อย่าอยู่อย่างไม่มีที่พึ่ง เพราะผู้อยุ่อย่างไม่มีที่พึ่งย่อมมีความทุกข์ ” ที่พึ่งในพระพุทธศาสนาคือพระธรรมคำสอน คือการปฎิบัติธรรมนี้เอง

    ท่านปฎิบัติธรรมท่านจะเป็นที่พึ่งของตนได้แน่นอน พระพุทธเจ้าเองยังต้องเคารพพระธรรม พระองค์ตรัสว่าคนเราถ้าอยู่อย่างไม่มีที่เคารพแล้วย่อมอยู่อย่างมีความทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงเคารพพระธรรมคือกฎธรรมชาติที่พระองค์ทรงค้นพบ ทรงทำตามกฎธรรมชาติ คือ วิปัสสนากรรมฐาน เพราะฉะนั้นต่อไปนี้จะขอเสนอหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงทรงค้นพบ และทรงสอนไว้ เพื่อที่เราชาวพุทธจะนำมาใช้ให้ได้ ถ้านำมาใช้ไม่ได้ก็เป็นเวรกรรมของเราเอง จะไปโทษคนอื่นไม่ได้ เหมือนเรามีน้ำมันและแร่ธาตุในชาติของเรา แต่เราไม่ขุดไม่นำมาใช้จะไปโทษคนอื่นไม่ได้ ต้องโทษตัวเราเองที่ไม่สามารถจะนำน้ำมันและแร่ธาตุที่บรรพบุรุษเรารักษาไว้ในชาติมาใช้

    อันหลักธรรมในพระพุทธศาสนานั้นเป็นอกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาล ไม่ว่ากาลใหน ๆ ใช้ได้ดีทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ดีในสมัยพระพุทธเจ้าเท่านั้น เหมือนเกลือ เกลือในยุคพระพุทธเจ้าก็เค็ม ในยุคปัจจุบันนี้ก็เค็มไม่เปลี่ยนแปลงเลย เรียกว่าอกาลิโก พระธรรมของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกันแม้ในยุคพระพุทธเจ้าปฎิบัติอย่างไรได้รับผลอย่งานั้น ปัจจุบันก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลย หลักธรรมเป็นอกาลิโก ไม่ใช่ยุคโลกาภิวัฒน์แล้วจะต้องใช้หลักธรรมอย่างโน้นอย่างนี้เป็นพิเศษ แท้จริงเหมือนกันหมด เป็นเพียงแต่ว่าเราต้องประยุกต์ใช้ให้ถูกต้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน หลักธรรมสำหรับยุคปัจจุบันนี้คือกรรมฐาน ซึ่งจะแก้ไขปัญหาได้ทุกสถานการณ์

    ขอเสนอหลักธรรมที่จะทำให้เราอยู่อย่างมีความสุขในยุคปัจจุบันดังต่อไปนี้ คือ
๑.รู้เท่าทันสถานการณ์ของโลกได้
๒.รู้เท่าทันโลกธรรม ไม่หวั่นไหว
๓.อยู่อย่างสันโดษ สงบ โดยมีหลักธรรมเป็นตัวหนุนอยู่ ๕ ประการ คือ

(๑) ขันติ ความอดทน อาตมาได้พูดถึงหลักธรรมนี้ไว้ว่า ขันติความอดทน หลวงพ่อทน หลวงพ่อนิ่ง หลวงพ่อนิ่ง หลวงพ่อทน ไปไหนตาดูหูฟัง ปากนิ่ง ตีนรีบวิ่ง มือทำแต่ความดี เป็นต้น
(๒) เมตตา
(๓) เสียสละ
(๔) ให้อภัย
(๕)ปล่อยวาง

    นี่แหละกรรมฐาน มีขันติ ความอดทน กำหนดเวทนาให้ได้ แล้วก็มีเมตตาปรารถนาดี เผื่อแผ่ เสียสละ ให้อภัย ไม่จองเวรจองกรรม หนักนิดเบาหน่อยให้อภัยกัน ปล่อยวางปล่อยปลงตกเสียบ้าง มีความทุกข์อยู่ทำไม วางเสีย

    การที่เราจะรู้เท่าทันสถานการณ์ของโลกนั้น ต้องมีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาคือ พหูสูต ความรอบรู้ในวิชาการต่าง ๆ โลกปัจจุบันเจริญไปมาก ถ้าเราตามโลกเขาไม่ทัน เราก็ปรับตัวเข้ากับโลกเขาไม่ได้ การจะปรับตัวให้ทันกับโลกได้ต้องมีความรู้คือพหูสูต ในปัจุบันนี้นอกจากเราจะอ่านหนังสือค้นคว้าและประชุมสัมนาต่างๆ แล้ว เราต้องอ่านหนังสือพิมพ์ ทันข่าว ทันสถานการณ์ด้วย จึงจะเป็นพหูสูต รู้รอบคอบ รอบด้าน ทันสมัย

    ความรู้ทันสมัยหรือความรู้ที่จำเป็นคือ รู้บางสิ่งในทุกสิ่ง รู้ทุกสิ่งในบางสิ่ง

    รู้บางสิ่งในทุกสิ่ง คือ สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่กำลังเจริญก้าวหน้า เราต้องรู้กับเขาบ้าง แต่ไม่จำเป็นต้องรู้อย่างละเอียด เช่นเรื่องเศรษฐกิจเราต้องรู้บ้างว่าเศรษฐกิจของโลกเป็นอย่างไร เศรษฐกิจเมืองไทยเป็นอย่างไร ตอนนี้เขาขึ้นเงินเดือนขนาดใหน อย่างไร ให้ประหยัดอย่างไร เรื่องอากาศเราก็ต้องรู้บ้าง เรื่องการเมืองการเปลี่ยนรัฐบาลเราก็ต้องรู้บ้าง ไม่ใช่ไม่รู้เลย เรื่องต่างประเทศ ประธานาธิบดีคนไหนเปลี่ยนแปลงอย่างไร แม้แต่เรื่องมวยมีใครชิงแชมป์ก็ต้องรู้กับเขาบ้าง แต่ไม่ใช่รู้ลึกซึ้งไปทั้งหมด หรือแม้แต่เรื่องเพลง เพลงใหนกำลังฮิตก็ต้องรู้ หรือกีฬาก็ต้องรู้กับเขา การเกษตรก็ต้องรู้ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเกษตรกร แต่ไม่ถึงกับรู้ทะลุปรุโปร่ง เราต้องรู้เรื่องรอบตัวบ้างไม่ใช่ไม่รู้เลย ไม่ใช่ว่าตอนเช้าเห็ฯฌ๘ติดธงกันปลิวไสวเพื่อต้อนรับแขกเมือง ใครมาก็ไม่รู้เรื่องเลย ตื่นนอนตอนเช้าหนาวสั่นอากาศเย็น ทำไมมันหนาวเช่นนี้ ไม่รู้เรื่องอากาศเลย ไม่ได้ฟังพยากรณ์อากาศเลย ทำไมน้ำท่วมกรุงเทพฯ ทำไมท่วมที่จังหวัดชุมพร ทำไมท่วมที่จังหวัดเชียงราย ก็น้ำเหนือกำลังหลากฝนมันตก ไม่รู้บ้างหรือ

    ถ้าไม่รู้ให้ทันสถานการณ์ของโลก เราก็อยู่อย่างไม่ทันเขา ต้องรู้ให้ทัน ตามโลกให้ทัน แต่ไม่มช่รู้อย่างละเอียด เพราะรู้อย่างละเอียดทั้งหมดนั้นทำไม่ได้หรอก แต่ต้องรู้บ้าง ไม่รู้ไม่ได้ หากไม่รู้จะอยู่ในโลกได้อย่างไร รู้อย่างนี้แหละที่เรียกว่า รู้บางสิ่งบางอย่างในทุกสิ่ง คำว่าทุกสิ่งหมายความว่า ต้องรู้สิ่งต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ วันใดไม่ได้หาความรู้ใส่ตน วันนั้นคือขาดทุน วันใหนไม่มีความรู้เข้ามาเลย ก็ขาดทุน แต่ถ้าไปเจริญกรรมฐานถือว่าไม่ขาดทุน เจริญวิปัสสนากรรมฐานถือว่าได้กำไรอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นต้องตั้งใจทำให้ได้ทุกวัน เจริญกรรมฐานทุกวันให้ทันโลก ยิ่งเราเป็นผู้ใหญ่ยิ่งต้องทันโลก ต้องทันทุกสิ่งทุกอย่างให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นี่อย่างนี้ถึงเรียกว่าทำกรรมฐานทุกวัน ไม่ขาดสาย ท่านจะรุ้รอบคอบ ชอบระวัง ตั้งใจตรง ทรงศีลธรรม นำทางถูก ปลูกสติ ดำริชอบ ประกอบกุศล ได้ผลอนันต์เป็นหลักฐานสำคัญ โปรดจำใส่ใจ

    ส่วนความรู้ทุกสิ่งในบางสิ่ง หมายถึงต้องรู้ให้ทะลุปรุโปร่งในบางสิ่งบางเรื่องที่จำเป็น เช่นงานในหน้าที่ของเรา มีหน้าที่อะไรก็ต้องรู้เรื่องนั้นให้ลึกซึ้ง ถ้าหากว่าเรื่องของตัวเองไม่รู้ กลับไปสอดรู้เรื่องของคนอื่น ก็เป็นคนไม่ทันสมัย จะมีแต่เรื่องยุ่งวุ่นวายเสียด้วยซ้ำไป ไม่ควรเก็บเอาคำชั่วหยาบที่คนอื่นพูดมาไว้ในใจตน ไม่ควรดูการงานของคนอื่นว่าเขาทำเสร็จแล้วหรือยังหรือทำไม่เสร็จ อย่าไปรู้ อย่าไปดุ ควรตรวจดูงานของเราเท่านั้นว่าเราทำเสร็จแล้วหรือยัง งานใดทำยังไม่เสร็จก็ทำให้มันเสร็จ เมื่อทำเสร็จแล้วจะได้สบายใจว่าเราทำหน้าที่ของเราเสร็จแล้ว การมีความรู้และการกระทำต้องไปด้วยกัน ไม่ใช่รู้แล้วทำไม่ได้ ต้องรู้แล้วพยายามทำให้ได้ อย่าเดี๋ยว เคยพูดมาแล้วว่า กรรมฐานไม่มีเดี๋ยว ต้องลงมือทำ อดีตอย่ารื้อฟื้น เรื่องอื่นอย่าไปคิด กิจที่ชอบให้รีบทำ อนาคตไม่แน่นอน อย่าจับมั่นคั้นให้มันตาย อย่าถือมั่นตรงนั้น มันจะเปลี่ยนแปลง

    ความรู้ที่จะให้ทันโลกปัจจุบันนี้ เข้ากับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา คือ รอบคอบ เป็นพหูสูต รู้จริง ไม่ใช่รู้มาก บางคนรู้มากแต่ไม่รู้จริง รู้จริงต้องทำ รู้จำต้องท่อง รู้แจ้งต้องคิดก่อน นี่คือ พหูสูต ความเป็นผู้ศึกษามาก เรียนรู้มาก เข้าใจมาก รอบคอบมาก

    ถามว่าเป็นพหูสูตไว้ทำไม ตอบว่าเป็นไว้ช่วยอะไรได้มากมาย ช่วยตัวเอง ช่วยสังคม ช่วยชาติ เพราะฉะนั้นถ้าวันใดไม่ได้รับความรู้ใส่ตน วันนั้นถือว่าขาดทุน บางคนนอนทั้งวัน นึกว่าได้กำไร ความจริงขาดทุน นอนนานงานน้อย กินบ่อยเงินหมด มีเงินหน้าสด หมดเงินหน้าแห้ง เพราะแล้งน้ำใจ ไปเที่ยวทั้งวัน คิดว่าตัวเองได้กำไร แท้จริงขาดทุน ขาดทุนเพราะชีวิตไม่ก้าวหน้า

    รู้เท่าทันโลกอีกอย่างหนึ่งก็คือรู้โลกธรรม หรือธรรมประจำโลก พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลกยังหมุนตราบใด มนุษย์ยังอยู่ในโลกตราบใด สิ่ง ๘ ประการย่อมเกิดกับมนุษย์ทุกคนอยู่ตราบนั้น คือ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุขและทุกข์

    ลาภ หมายความว่าได้เงินเดือนบ้าง รายได้จากอื่นบ้าง แต่บางทีก็หมด บางทีก็เป็นหนี้เขา ยศ ไม่ใช่หมายความว่าจะต้องติดบั้งติดอะไรอย่างนั้น ยศมีหลายอย่าง เช่น บริวารยศ เกียรติยศ ตำแหน่งก็ถือว่าเป็นยศ เมื่อมีลาภก็เสื่อมได้ หมดได้ มียศก็เสื่อมยศได้ เป็นของคู่กัน มีสุขก็ไม่ใช่ว่ามีแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นทุกข์ อย่าไปอื่มใจว่า แหม! วันนี้ฉันสุขสบาย สักประเดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นทุกข์

    ทำไมพระอริยเจ้าจึงถือว่าโลกธรรมเป็นเรื่องธรรมดาเพราะท่านเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แม้เราไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ก็ควรถือตามพระอริยเจ้าบ้าง ถ้ามีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ ได้รับสรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ เกิดขึ้นกับเราก็ให้พิจารณาด้วยกรรมฐาน ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันมีการแปรปรวนเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา จึงไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป เพราะมันได้อย่างนี้มันต้องเป็นอย่างโน้น มีไหม คนที่ได้ลาภแล้วไม่เสื่อมลาภ แล้วคนที่ไม่ได้อะไรเลยมีไหม ไม่มี คนที่ได้นินทาอย่างเดียวมีไหม คนที่ได้สรรเสริญอย่างเดียวมีไหม ไม่มี ได้ยศเสื่อมยศได้ มีสุขก็มีทุกข์ได้

    เพราะฉะนั้นขอให้รู้เท่าทันโลกธรรมด้วยกรรมฐานตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือผู้น้อยก็ต้องพบโลกธรรมทุกคนตราบนั้น ถ้าอยู่อย่างไม่มีสันโดษ ไม่ว่ายุคไหน สมัยใดก็ทุกข์ทั้งสิ้น

    อยู่อย่างมีสันโดษ คือ คนเราที่มีทุกข์ในปัจจุบันนั้นบางคนรวยไม่ยอมหยุด คนนั้นคือคนจนในความรวยของตัวเอง มีร้อยล้านแล้วยังไม่พอ ใจสั่นอยากจะโกง พันล้านไม่พอ หมื่นล้านไม่พออีก บางคนนั่งชูคออยู่ในรถอันหรูหรา ในบ้านอันหรูหรา แต่หาความสุขไม่ได้ เพราะฉะนั้นโลกเจริญรุ่งเรืองอย่างไรก็ตาม ถ้าเรามีสันโดษจะมีความสุขมาก ปัญหาสังคมจะเกิดขึ้นขนาดใหนก็ตาม ไม่ว่าปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหายาเสพติด ปัญหาครอบครัว ปัญหาจราจร หรือปัญหาอะไรต่างๆ ถ้าเรามีสันโดษเรามีสุข คนมีสันโดษคือมีความพอใจ มันจะมีสุข มองเห็นโลกนี้เต็มไปด้วยความสุข เหมือนคนสวมรองเท้าหนังเดินอยุ่บนพื้นโลก เหมือนตัวเองไม่ได้เหยียบดินเลย เหยียบหนังตลอดเวลา ทั้งที่ยืนอยุ่บนพื้นโลก คนที่มีสันโดษย่อมเต็มไปด้วยความสุข ถึงโลกจะวุ่นวาย แต่เขาเป็นอยู่และก้าวเดินไปด้วยความสุข ความทุกข์ผ่านเข้าไปไม่ได้ เพราะรู้เท่าทันตลอดเวลา

    พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญสันโดษไว้ว่า สนฺตฎฐี ปรมํธนํ ความสันโดษเป็นยอดทิพย์ คำว่าทรัพย์ แปลว่าสิ่งที่นำความปลื้มใจมาให้ อย่างเรามีทรัพย์เราก็ปลื้มใจ ได้รับเงินเดือน เราก็ปลื้มใจ มีทรัพย์สมบัติ โภคสมบัติ เราก็ปลื้มใจทั้งนั้น แต่ถ้าเรามีทรัพย์แล้วไม่ปลื้มใจคนนั้นคือคนจนเพราะมีแล้วไม่พอใจ สมมุติว่าเรามีเงินหนึ่งหมื่นก็พอใจ หนึ่งล้านก็พอใจ คือพอใจทั้งนั้น ในเมื่อพอใจแล้วก็เกิดอะไรขึ้นมา ก็เกิดสันโดษ เกิดมักน้อย เกิดไม่ต้องการ แล้วก็เงินไหลนองทองไหลมาเอง เพราะฉะนั้นอยากจะให้พวกเราเข้าใจหลักสันโดษในพระพุทธศาสนา ซึ่งจะทำให้เราอยู่อย่างมีความสุขตลอดทั้งปีนี้ต่อไปจนตาย ถ้าเรามาเข้าใจสันโดษ เราก็เดือดร้อนไปจนตาย เพราะไฟภายในเผาเอา ไฟคือเพลิงเผาเรามีอยู่ ๒ ชนิด คือ ๑.เพลิงกิเลส ๒.เพลิงทุกข์

    เพลิงกิเลส คือไฟอันเกิดจาก โลภ โกรธ หลง เราเคยเห็นเพลิงชนิดนี้ไหม้คนเรา เช่น โลภจัด โกรธจัด เห็นได้ชัด บางคนบอกว่าพวกหลงจัดไม่ค่อยเห็นมี แต่ที่จริงก็มีมาก เช่น พวกติดบุหรี่ ติดยาเสพติด ติดการพนัน เรียกว่าเพลิงกิเลส

    เพลิงทุกข์ คือ เพลิงที่เกิดจาก ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เราเกิดมาแล้วก็ต้องถูกเพลิงชนิดนี้เผาแน่นอน เพลิงทุกข์นี้เผากาย ส่วนเพลิงกิเลสเผาใจ เพลิงทุกข์นี้เราไม่สามารถทิ้งได้ในชาตินี้ เพราะเราเกิดมาแล้ว ไม่เหมือนพระอรหันต์ท่านไม่ต้องถูกเพลิงนี้เผาอีกต่อไป เพราะท่านไม่เกิดอีก แต่เราต้องยอมให้มันเผาเพราะเราเกิดมาแล้ว แต่ถึงเผาก็อย่าทุรนทุรายจนเกินไป ถ้าใจเราไม่ถูกเพลิงกิเลสเผา ถึงเพลิงทุกข์เผาเราก็ไม่ทุรนทุรายนัก เพลิงทั้งสองอย่างนี้ที่เผาอย่างร้ายแรงมากก็คือเพลิงกิเลส คนขาดสันโดษจะถูกเพลิงกิเลสเผาแน่ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐี ผู้นำต่างๆ หรือแม้แต่ยาจก แต่ถ้ามีสันโดษ เพลิงเหล่านี้จะดับลงง่าย

    ความสันโดษหรือความยินดีพอใจ นั้นต้องไม่ใช่ยินดีของคนอื่น ต้องยินดีของเราเอง ต้องเป็นของที่มีอยู่และได้มาด้วยตัวของเรา เรามีเงินมีทองเราก็ยินดีของเรา บางคนของตัวเองไม่ยินดีแต่ไปยินดีของคนอื่น เมียตัวเองไม่พอใจ ไปพอใจเมียคนอื่น ผัวตัวเองไม่พอใจ ไปพอใจผัวคนอื่น มันยุ่งยากเดือดร้อนเพราะไม่พอใจในของตัวเองนี้แหละ พวกขาดสันโดษข้อนี้มีมาก เช่น มีเงินตัวเองแล้วยังไม่พอใจ แต่ไปพอใจของคนอื่นคนประเภทนี้มีสุขไหม

    สมมุติว่ามีคนอยุ่สองคน คนหนึ่งพูดว่าฉันมีอะไรฉันก็พอใจ แต่อีกคนหนึ่งพูดว่าฉันมีอะไรฉันก็ไม่พอใจหมด คนสองคนนี้ใครจะสุขกว่ากันเล่า

    สมมุติว่าเรามีหน้าตาไม่สวย ก็บ่นว่าแม่ไม่น่าเกิดเรามาอย่างนี้เลย น่าจะเกิดให้เราสวยกว่านี้หน่อย พอเจอแม่เรา แหม ! แม่เราน่าจะมีความรู้มกกว่านี้ ยังอยู่อย่างนี้ แม่เรานี้ไม่ไหว น้องเราก็แย่ พี่เราก็แย่ แย่ไปหมดเลย บ้านเมืองเราก็แย่ โต๊ะที่นั่งก็แย่ ไมโครโฟนก็แย่ น้ำกินก็แย่ มีอะไรไม่พอใจไปหมด พวกนี้หาทุกข์มาใส่ตัว มีผัวกไม่พอใจ มีเมียก็ไม่พอใจ มีอะไรก็ไม่พอใจ แล้วมันจะสุขตรงไหน แต่ถ้าเราพอใจก็จะมีความสุข มี ๑๐ บาทก็พอใจ มีล้านหนึ่งก็พอใจล้านหนึ่ง นี่แหละแม้ไม่ให้ใครก็ไม่เสียหายอันใด แต่บางคนบอกว่าถ้าเรามีโรคเรื้อน จะไปพอใจโรคเรื้อนหรือ ก็โรคเรื้อนมันไม่ใช่ของของเรา โรคเรื้อนมันมาอาศัยเรา เราไม่ให้มันอยู่เอง ไม่ใช่ของเรา สิ่งใหนเป็นของของเราเราพอใจสิ่งนั้น เราก็มีความสุข เรามีเท่าไรก็พอใจเท่านั้น นี้แหละแม้เรามีสันโดษตัวเดียวก็มีความสุขแล้ว

    ถ้าท่านทั้งหลายเจริญกรรมฐาน เจริญกุศลภาวนาแล้วท่านจะได้มีสันโดษในจิต รู้จุดมุ่งหมายแห่งความจริง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้สท่านจะรู้ซึ้งถึงเหตุผล ข้อเท็จจริงแก้ปัญหาได้

    มีคนกล่าวไว้ว่า คนเรามีปริศนาธรรมอยู่สองอย่างคือ “ตอนเกิดมือจะกำ ตอนตายมือจะแบออก”

    ตอนที่เกิดใหม่มือกำ นั้นเหมือนจะบอกให้คนทั้งหลายรู้ว่า “ ถ้าฉันโตขึ้นฉันจะเก็บทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นของฉันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ” บางทีก็ยอมือชูขึ้นเหมือนจะบอกว่า “ข้านี้เอาแน่ ”

    เมื่อตายแล้ว ก็จะเหมือนกันหมดคือต้องแบมือออกหมด เป็นการบอกว่าเวลาตายนั้น ไม่มีอะไรที่เราจะเอาไปได้ ดังคำกลอนที่ว่า

เมื่อเจ้ามามีอะไรมาด้วยเจ้า

เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน

เมื่อเจ้ามามือเปล่าจะเอาอะไร

เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย ไม่มีอะไรดีกว่าการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน การเจริญกรรมฐานไม่ต้องเสียเงินเสียทองแต่ประการใด เรามาวัดสดับพระธรรมเทศนา และเจริญกรรมฐาน สวดพระพุทธคุณ พระสังฆคุณ พาหุง – มหากา ก็ได้ประโยชน์ ดีกว่าเราไม่ทำอะไรเสียเลย

    การเจริญกรรมฐานนี้แก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง ทำให้เรารู้สึกนึกคิด รู้ตื้นลึกหนาบาง รู้กาลเวลา รู้จักกาลเทศะ กิจจะลักษณะ จะกล่าววาจาก็กล่าวโดยกาละที่ควรกล่าว จะกล่าววาจาก็มีสัจจะความจริง จะกล่าววาจาก็รู้สึกว่ามีประโยชน์กับผู้ฟัง จะกล่าววาจาก็อ่อนหวานสุภาพอ่อนโยน จะกล่าววาจาก็รู้สึกว่ามีเมตตาต่อกัน

    ผู้ที่เจริญกรรมฐานจะระลึกชาติของตนเองได้ อย่างน้อยก็จะระลึกอดีตได้ จำความเมื่อเป็นเด็กได้ทั้งหมด ทำบาปทำเวรทำกรรมไว้ก็จะได้สำนึก จะรู้กฎแห่งกรรมว่าได้ทำกรรมอะไรไว้ จะได้แก้ปัญหาให้มันหมดสิ้นไป ใช้หนี้เขาให้หมด ใช้หนี้เวร ใช้หนี้กรรม ใช้หนี้บุญคุณ แต่หนี้บุญคุณนี่ใช้ไม่รู้จักหมด อย่างอาตมานี้ คอหัก แขนขาหัก ต้องทรมานอย่างสาหัส หนี้เวรหนี้กรรมก็หมดไป แต่หนี้บุญคุณใช้ไม่หมด เช่นบุญคุณของบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ปู่ย่าตายาย ใช้ไม่มีหมด

น้ำพระคุณอุ่นเกล้าทุกเช้าค่ำ   หล่อด้วยน้ำเมตตาจะหาไหน

เหมือนน้ำค้างเย็นหล้าจากนภาลัย  ก็ยังไม่เย็นล้ำเท่าน้ำพระคุณ

    คนไหนปฎิบัติกรรมฐานได้ คนนั้นจะมีความกตัญญูกตเวที ระลึกและตอบแทนในบุญคุณของผู้มีบุญคุณต่อตน คนที่เจริญกรรมฐานอย่างเสมอต้นเสมอปลาย จะเป็นคนมีบุญวาสนา นำพาส่งผลได้ผลเป็นอานิสงส์สมความมุ่งมาดปรารถนาทุกประการ

    ขออนุโมทนาสาธุการแก่ฐาติโยมทั้งหลายที่มาฟังธรรม มาเจริญกรรมฐานที่จะแก้ไขปัญหาได้ทุกชนิด จะอยู่อย่างมีความสุขเจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาพร จิตใจจะกว้างขวางไม่คับแคบ เรามีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันที่เจริญด้านวัตถุและเทคโนโลยี เราต้องเจริญไปด้วยพุทโธโลยีเพื่อแก้ปัญหาชีวิตได้ ที่ว่าพุทโธโลยีแก้ไขปัญหาได้ก็ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพราะว่าชีวิตจะมีค่าเวลาจะมีประโยชน์ด้วยการเจริญวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ รู้แต้สิ่งที่มีประโยชน์ สิ่งที่ไม่มีประโยชน์จะไม่อยากไปรู้ของเขา เราจะรู้แต่เรื่องของเรา ไม่ต้องไปดูงานคนอื่นเขาว่าเสร็จแล้วหรือยัง ดูงานของเราว่าจะเสร็จหรือไม่ประการใด

    ถ้าเราเจริญกรรมฐานเราจะยอมรับสัจธรรมหรือธรรมชาติของชีวิต จะยอบรับเวรรับกรรมที่เราทำไว้ทุกประการ กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา กุศลหรืออกุศล เราก็จะรู้ได้ด้วย ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ รู้แจ้งแก่เราทุกคนแล้ว

    ขอท่านสาธุชน อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ตั้งใจปฎิบัติธรรม ปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อเป้นการแก้ไขปัญหาชีวิตและช่วยสั่งสอนเสริมสร้างความดีให้กับลูก ทำถูกให้กับหลาน เวลาข้างหน้าก็เหลือน้อยแล้ว อย่าประมาท ความตายอาจมาถึงได้วันนี้ พรุ่งนี้

    ขอให้ท่านทั้งหลายจงเจริยรุ่งเรืองในธรรมสัมมาปฎิบัติในหน้าที่โดยทั่งกัน ขอให้ทุกท่านจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ นึกคิดสิ่งหนึ่งประการใดก็สมความมุ่งมาดปรารถนาด้วยกันทุกรูปทุกนาม ณ โอกาสบัดนี้เทอญ .

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›