๑๗/๒๔ วันเวลาที่เป็นทางมาขอกำไร

พระเทพสิงหบุราจารย์

“งบดุลจะมีกำไรก็ต้องค่อยสะสมไปตามเวลา”

    ที่ว่ามานี้ก็เป็นการพูดเพื่อจะให้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องกาลเวลาที่ผ่านไป ที่เราก้าวเข้าสู่ปีใหม่ เหมือนกับว่ามาทำงบดุลเป็นงบดุลชีวิต และงบดุลสังคม

    งบดุลนั้นจะทำขึ้นมาได้ ก็ต้องมีการสำรวจรายได้ รายจ่าย ให้รู้กำไรและขาดทุน ไม่ว่าจะเป็นของชีวิตหรือสังคมก็ตาม

    ถ้าเราสะสมให้เกิดความเจริญงอกงามขึ้นมาได้ตลอดเวลาอย่างนี้ จนกระทั่งถึงปีหน้า เราก็พูดได้อย่างเต็มปากว่าเราได้กำไร

    แต่การที่จะได้กำไรอย่างนี้ ก็ต้องอาศัยทำไปเรื่อยๆทีละเล็กทีละน้อย โดยแบ่งซอยเวลาลงมา จากปีก็ต้องมาดูเป็นรายเดือน จากรายเดือนก็ต้องมาดูเป็นรายสัปดาห์ ย่อยละเอียดลงไปจนกระทั่งเป็นรายวัน รายชั่วโมง รายนาที ว่าเราได้อะไรบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อยู่ที่การรู้จักใช้เวลา

    ผู้ที่สามารถใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ก็คือ ผู้รู้จักสะสมความเจริญเพิ่มพูนขึ้นได้ จนกระทั่งงบดุลนั้นเป็น งบดุลที่แสดงฐานะที่มีกำไร ทั้งนี้เราจะต้องใช้เวลาที่ผ่านไปอย่างน้อยในแต่ละวันให้ได้ประโยชน์ให้ได้กำไร

    ฉะนั้นตัวเราเองที่จะต้องสำรวจ แม้แต่ในแต่ละวันว่า วันหนึ่งๆเราได้เราเสีย ไม่ต้องไปรอสำรวจถึงปี

ในทางพระพุทธศาสนา ท่านบอกอยู่เสมอว่า
ให้ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท

    การที่ต้องดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาทนั้นเพราะอะไร ก็เพราะสัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลง เพราะสิ่งทั้งหลายมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจึงต้องไม่ประมาท เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงไปอย่างโน้นอย่างนี้ เราจะนอนใจนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ จะต้องต้อนรับความเปลี่ยนแปลงด้วยปัญญา ท่านบอกว่าสิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป แต่มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างเลื่อนลอย นี่เป็นข้อสำคัญ คือหลักความเปลี่ยนนั้นไม่ได้บอกว่า สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปลอยๆ

    ตัวหลักนี้เองก็ไม่ได้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวลอยๆ กล่าวคือหลักความเปลี่ยนแปลงจะต้องไปสัมพันธ์กับหลักของความเป็นไปตามเหตุปัจจัย พอมันเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยก็เป็นเรื่องที่โยงมาถึงการกระทำของเราว่าจะต้องมีการใช้ปัญญา คือการที่เราจะต้องสืบสาวค้นคว้าหาเหตุปัจจัย เพื่อว่าเมื่อเรารู้เหตุปัจจัยแล้ว เราจะได้แก้ไขป้องกัน และสร้างเสริมได้ถูกต้อง

    การเปลี่ยนแปลงในทางเสื่อมเราไม่ต้องการ เมื่อเรารู้เหตุปัจจัยของความเสื่อมเราก็สามารถแก้ไขป้องกันความเสื่อมนั้น ถ้าความเปลี่ยนแปลงใดเป็นความเจริญที่ต้องการเราก็สืบหาว่าอะไรเป็นปัจจัยที่จะนำไปสู่ความเจริญนั้น เมื่อรู้แล้วทำเหตุปัจจัยนั้น เราก็จะเกิดความเจริญที่ต้องการ

    ฉะนั้นหลักการเปลี่ยนแปลงนี้ อย่าให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นหลักที่ลอยๆ

จะกำไรแค่ไหน ก็อยู่ที่รู้จักใช้อนิจจังหรือไม่

    คนจำนวนมากใช้หลักอนิจจังหรือความเปลี่ยนแปลงนี้ในทางที่ไม่สมบูรณ์ คือมองแค่ว่าสิ่งทั้งหลายต้องเปลี่ยนแปลงไป เมื่อมันเปลี่ยนแปลงไป ก็ได้แต่ปลงว่าสิ่งทั้งหลายก็เป็นอย่างนี้เอง เราต้องรู้เท่าทันว่าสังขารทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วแตกสลายไปเป็นธรรมดา เมื่อรู้เท่าทันแล้วก็วางใจสบายก็จบ คือสบายใจ เออ.มันเป็นไปตามธรรดาของมันที่จะต้องเสื่อมสลาย ก็จบเท่านั้น

    อย่างนี้ท่านว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากหลักอนิจจังได้ครึ่งเดียว อีกครึ่งเป็นโทษจากการไม่โยงหลักนี้ไปหาหลักของความเป็นไปตามเหตุปัจจัย
กฏไตรลักษณ์ที่มีหลักการของการเปลี่ยนแปลงนี้ จะต้องโยงไปหาหลักอิทัปปัจจยตา หรือ ปฎิจจสมุปบาท สองกฏนี้สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

    ปฎิจจสมุปบาท คือกฏแห่งความเป็นเหตุปัจจัย สิ่งทั้งหลายที่ปรากฏรูปร่างออกทาเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นต้นนั้น เพราะว่ามันเป็นไปตามเหตุปัจจัย คือเป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตา ซึ่งมีสาระว่า เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนั้นจึงเกิด เมื่อสิ่งนั้นดับไป สิ่งนี้จึงดับ อันนี้เป็นหลักที่สำคัญมาก

    ฉะนั้น ไตรลักษณ์จะต้องโยงไปหาปฏิจจสมุปบาทถ้าเราเห็นหลักปกิจจสมุปบาท ก็ถึงตัวหลักที่แท้จริง ไตรลักษณ์นั้นเป็นเพียงลักษณะเท่านั้น คือเป็นเพียงอาการปรากฏ ที่แท้จริงคือปฏิจจสมุปบาท กฏของความเป็นเหตุปัจจัย เราจะต้องจับเหตุปัจจัยได้ การรู้เหตุปัจจัยจะเป็นตัวนำไปสู่การปฏิบัติได้ถูกต้อง

    เพียงแต่เห็นสิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป แล้วปลงว่ามันเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมดา สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา วางใจสบาย ก็เป็นเพียงรู้เท่าทันในขึ้นหนึ่ง แต่จะต้องรู้ต่อไปอีกว่าที่มันเป็นอย่างนี้ ก็เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งเป็นตอนสำคัญที่จะโยงต่อไปสู่ภาคปฏิบัตินั้น คือสืบสาวหาเหตุปัจจัย รู้เหตุปัจจัยของความเสื่อมและความเจริญ แล้วก็มาถึงภาคปฏิบัติ คือการที่จะทำตามเหตุปัจจัย แก้ไขที่เหตุปัจจัย และสร้างเสริมเหตุปัจจัย

    หมายความว่า แก้เหตุปัจจัยที่จะทำให้เสื่อม และสร้างเสริมเหตุปัจจัยที่จะทำให้เจริญงอกงาม เป็นภาคปฏิบัติ และนี่แหละคือหลักความไม่ประมาท

    ฉะนั้นความไม่ประมาทก็เกิดจากการที่เข้าใจรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงโยงอยู่ด้วยกันกับความเป็นไปตามเหตุปัจจัย แล้วอาศัยกาลเวลา กาลเวลาก็เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงนี้เอง แต่ดูเหมือนว่ากาลเวลานั้นรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่

    ทุกขณะแห่งเวลาคือโอกาสก้าวหน้าของชีวิต เมื่อกาลเวลานี้สัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลง กาลเวลาที่ผ่านไปเป็นไปพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นเมื่อเราเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องเห็นความสำคัญของกาลเวลาด้วย กาลเวลาที่ผ่านไปแต่ละขณะจึงสำคัญมาก พระพุทธเจ้าถึงกับตรัสว่า

ขโณ โว มา อุปจฺจคา
เวลาแต่ละขณะอย่าให้ล่วงผ่านท่านไปเปล่า

    คำว่า อย่าให้ล่วงผ่านท่านไปเปล่า นี่สำคัญมากสำนวนของท่านว่า ขณะอย่าได้ล่วงท่านไปเสีย หมายความว่า จะต้องหมั่นถามตัวเองว่า ขณะแต่ละขณะนี้ เราได้ใช้ประโยชน์มันหรือเปล่า มันผ่านไปอย่างมีค่า หรือผ่านไปอย่างไร เปล่าประโยชน์หรือไม่

    การเห็นความสำคัญของกาลเวลานี้ จะเห็นได้ในคำพิจารณาตัวเองที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระภิกษุให้พิจารณาเป็นประจำ ท่านเรียกว่าหลักอภิณหปัจจเวกขณะ ๑๐ ประการ ตามหลักนี้พระภิกษุจะต้องพิจารณาตนเองอยู่เนืองๆ เป็นประจำสม่ำเสมอ ๑๐ ข้อ

    ในบรรดา ๑๐ ข้อนั้น มีอยู่ข้อหนึ่งบอกว่า กถํ ภูตสฺส เม รตฺตินฺทิวา วีติปตนฺติ บรรพชิตคือพระภิกษุพึงพิจาปฎิจสมุปบาทรณาเนืองๆว่า

    วันคืนล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่ นี่เป็นคำเตือนที่สำคัญมาก พอพิจารณาขึ้นมาอย่างนี้ สติก็มาทันทีเลยว่า เวลาล่วงไป วันคืนล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่

    เมื่อพูดอย่างนี้ก็จะได้สติ พิจารณาตัวเองว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ หรือปล่อยเวลาให้เลื่อนลอยไป เราทำสิ่งที่ผิดหรือเปล่า ถ้าทำสิ่งที่ผิด ที่ไม่ดีก็จะได้ยั้งหยุด ถ้าปล่อยเวลาล่วงไป ไม่ได้ทำอะไรก็จะได้เร่งทำ

    หลักนี้ฆราวาสก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน ถ้าพิจารณาทุกวันชีวิตจะเจริญงอกงามพัฒนาแน่นอน เพราะเมื่อพิจารณาว่า วันคืนล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ก็ทำให้มีการสำรวจตรวจสอบปัจจุบันของตนเองทันที

คำเตือนสติอีกข้อหนึ่งที่น่าจะมาด้วยกันก็คือคาถาภาษิตว่า

อโมฆํ ทิวสํ กยิรา อปฺเปน พหุเกน วา
เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า จะมากหรือน้อยก็ต้องให้ได้อะไรบ้าง

    นี่คือการรู้จักใช้เวลา ถ้าได้แค่นี้แต่ละวันแล้ว กว่าจะถึงปีงบดุลชีวิตจะต้องได้กำไร ขอให้ทำอย่างนี้ทุกวัน เป็นอันว่าคราวนี้ขอเสนอแค่สองข้อ คือ

ข้อที่หนึ่ง เตือนสติตนเองให้พึงพิจารณาเนืองๆว่าวันคืนล่วงไปๆบัดนี้เราทำอะไรอยู่
ข้อที่สอง บอกตัวเองต่อไปว่า เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า จะมากหรือน้อยก็ต้องให้ได้อะไรบ้าง

    เพียง ๒ ข้อก็เพียงพอ ถ้าพิจารณาทุกๆวัน ชีวิตก็จะเจริญก้าวหน้า กำไรก็จะตามมา ถ้าเอามากกว่าข้อนั้นก็ลำบากขึ้นไปหน่อย คือลำบากขึ้นที่ว่า
ขโณ โว มา อุปจฺจาคา
เวลาแต่ละขณะ อย่าให้ล่วงผ่านท่านไปเปล่า

    ข้อนี้หมายความว่า แม้แต่เวลา แต่ละขณะๆก็อย่าปล่อยผ่าน ต้องจับเวลาแต่ละขณะไว้ให้ได้ประโยชน์ ถ้าทำอย่างนี้ก็เรียกว่าใช้เวลาเป็น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำเนินชีวิต เพราะว่าเวลามันกลืนกินชีวิตเราพระท่านว่า

กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตตฺตนา
เวลากลืนกินสรรพสัตว์พร้อมกันไปกับกินตัวของมันเอง

    ที่ว่ากาลเวลากลืนกินตัวมันเองนั้น เป็นการพูดแบบภาพพจน์ ที่จริงแล้วมันไม่กินอะไร แต่พูดเป็นภาพพจน์ว่ามันกิน
กาลเวลาผ่านไปมันก็กลืนกินสรรพสัตว์ไปด้วย เมื่อมันกลืนกินเรา เพื่อให้ประโยชน์คุ้มกัน เราก็กลืนกินมันบ้าง

    นี่แหละคือการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ หรือรู้จักบริโภคเวลา การใช้เวลาก็คือการ บริโภคเวลา เพราะฉะนั้นเมื่อรู้จักใช้เวลาก็คือ รู้จักบริโภคเวลา

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

   

กลับหน้าหลัก ›