๑๙/๔๑ ผลแห่งกรรม

เกสร วงษ์หาจักร

    ๑๐ ปี ที่เบอร์ลิน หลวงพ่อแผ่เมตตาช่วยเหมือนเงาติดตามตัว ลูกขอกราบแทบเท้าของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม (พระธรรมสิงหบุราจารย์) ที่ได้ให้ความเมตตาสงสารช่วยลูกผู้มีความทุกข์ให้พ้นทุกข์ กับญาติธรรมทั้งหลาย ได้มีโอกาสปฏิบัติพระกรรมฐานและฟังหลวงพ่อเทศน์ หลวงพ่อท่านเมตตากรุณาห่วงทุก ๆ คนที่มากราบนมัสการ หลวงพ่อเทศน์ว่าทำด้วยความศรัทธา ทำด้วยความเคารพ ด้วยกาย วาจา ใจ จะพ้นทุกข์ได้ ลูกน้อมรับคำสั่งสอนของหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง เป็นพลวปัจจัยเป็นนิสัย ตามส่งให้เกิดปัญญาญาณทั้งชาตินี้และชาติหน้า

    ข้าพเจ้าอยู่เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เวลากลับมาเมืองไทยก็จะมากราบหลวงพ่อ และปฏิบัติกรรมฐานทุก ๆ ปี และรู้ด้วยว่าหลวงพ่อท่านคุ้มครองเหมือนเงาติดตามตัว จะคิดอะไรทำอะไร ดีหรือชั่ว ข้าพเจ้าจะระวังตัวอยู่เสมอไม่ประมาท มองคนอื่นว่าดีกว่า ไม่อิจฉา ไม่โกรธ ไม่เกลียด หลวงพ่อเทศน์ว่า “เราพิจารณาตัวเราเองเถอะประเสริฐแท้ และเห็นคนอื่นทำความดีได้ดีให้ยกมือสาธุ” ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์ ขอปฏิบัติพระกรรมฐาน สวดมนต์อิติปิโส และพาหุงมหากาเป็นประจำ

    ข้าพเจ้าอายุ ๔๓ ปี เกิดที่จังหวัดยโสธร พ่อแม่มีลูกทั้งหมด ๖ คน ชาย ๔ คน หญิง ๒ คน ข้าพเจ้าเป็นคนที่ ๔ และเป็นผู้หญิงคนโต พ่อแม่มีอาชีพค้าขาย พ่อกับแม่จะให้ลูกชายเรียนหนังสือสูง ๆ ลูกผู้หญิงจะให้เรียนแค่ ป.๔ แล้วออกมาช่วยพ่อแม่ค้าขาย อาชีพก็คือขายเนื้อวัว และเนื้อหมูในตลาดสดจังหวัดยโสธร แม่จะรับเนื้อวัวสดมาจากแขกปาทานที่เป็นเถ้าแก่อีกทอดหนึ่ง ในใจของข้าพเจ้าไม่ชอบเพราะเป็นอาชีพที่ต้องมาฆ่าสัตว์ ตอนเป็นเด็กนิสัยชอบทำบุญใส่บาตร ตอนนั้นไม่รู้ความหมายของศีล ๕ ศีล ๘ คืออะไร แต่ชอบทำบุญ ถ้าวันพระข้าพเจ้าจะออกจากบ้านมาขายของที่ตลาดสด ประมาณ ตี ๔ เช้ามืด ข้าพเจ้าเอาเนื้อวัวมาวางเรียงไว้ที่เขียงตลาดก่อนแม่แล้วประมาณ ๒ โมงเช้า ข้าพเจ้าจะหนีแม่ไปทำบุญที่วัดจนกว่าพระฉันเพลเสร็จ ข้าพเจ้ารอล้างถ้วยจานเสร็จก็ประมาณบ่ายโมงแล้วกลับมาที่ตลาด เนื้อวัวที่วางไว้ที่เขียงก็เน่าเขียว แมลงวันตอม แม่ขาดทุนทุกครั้ง ถ้าวันพระวันไหนโรงหนังหน้าตลาดสดมีโปรแกรมฉายภาพยนตร์อินเดีย ข้าพเจ้าจะแอบหนีแม่ไปดูหนังรอบบ่ายทุกครั้ง กลับมาจากดูหนัง เขียงเนื้อวัวที่ตลาดสดก็เน่าเหมือนเดิม แม่ก็จะดุว่าเป็นธรรมดา แต่ข้าพเจ้าก็เฉย เพราะยังเป็นเด็กอายุ ๑๒ ปี เพราะปกติวันพระจะไม่มีการฆ่าสัตว์ ที่ตลาดสดจะงด ๑ วัน เนื้อที่ขายจะเป็นของ วันโกน

    ช่วงต่อมาครอบครัวเจอมรสุม พ่อกับแม่ค้าขายขาดทุน เป็นหนี้เถ้าแก่บ้าง เป็นหนี้ธนาคารด้วย ธนาคารก็จะยึดบ้าน เงินก็หมุนไม่ทัน แม่เป็นคนใจดี ใครมาก็ช่วยเหลือ เอาเนื้อวัวที่ขายไปก่อนจ่ายทีหลัง และลูกผู้ชายก็สร้างปัญหาเกเร เล่นการพนัน ให้พ่อกับแม่ทุกข์ใจ ข้าพเจ้าเป็นเด็ก คนมาขอเงินทวงหนี้กับแม่ทีไรก็สงสาร แต่ช่วยอะไรแม่ไม่ได้ แม่เริ่มยืมเงินดอกเบี้ยร้อยละ ๒๐ บาท

    ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่ค่อยจะฉลาด และชอบมองคนในแง่ดีก่อน พอหมุนเงินไม่ทันก็ให้ข้าพเจ้าไปหาซื้อวัวหรือควายเป็นตัวตามหมู่บ้าน และก็ให้คนที่รับจ้างฆ่าวัว-ควาย ตัวละ ๑๐๐ บาทมาฆ่าให้ โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้เจตนาคิดเป็นอาชีพ เป็นอาหาร และได้ช่วยเหลือแม่ ทำงานตามหน้าที่ของลูก ข้าพเจ้าจำได้ว่าสั่งเขาฆ่าทั้งหมดประมาณ ๓ ตัว ในจำนวนนั้นมีควายดำเตรียมจะฆ่าตัวหนึ่งร้องแปลก ๆ ตอนนั้นประมาณตีสองของวันโกน ข้าพเจ้ายืนห่างประมาณ ๑๐๐ เมตร จึงเดินไปดูเห็นควายดำที่ผูกไว้น้ำตาไหลร้องไห้ ข้าพเจ้าก็รู้สึกแปลกใจแต่ไม่คิดอะไร พอหลังจากฆ่าควายดำเสร็จถึงได้รู้ว่าควายดำมีท้อง หรือเรียกตามบ้านนอกว่าน้องควายอ่อน นั่นคืออดีตที่ผ่านมาของข้าพเจ้า ได้กระทำกรรมโดยไม่มีเจตนา คิดว่าเป็นอาชีพและไม่คิดว่าผลของอกุศลกรรมจะส่งวิบากกรรมให้เห็นในชาตินี้ และหลังจากนั้นครอบครัวของข้าพเจ้าก็ลำบาก

    ข้าพเจ้าหนีออกจากบ้าน ตอนนั้นข้าพเจ้ามีอายุ ๑๕ ปี ไปอยู่จังหวัดภูเก็ตกับเพื่อน ทำงานส่งเงินให้แม่ พอข้าพเจ้าอายุ ๑๙ ปี ก็มีชีวิตคู่ครอง อาภัพ ไม่สมหวัง เพราะทุกข์มากกว่าความสุข ตอนนั้นดิ้นรนต่อสู้ชีวิตทำงานเพื่อพ่อแม่และครอบครัวที่ต้องพึ่งข้าพเจ้า พอมีเงินก็ไปรับพ่อกับแม่และพี่ ๆ หลาย ๆ คนมาอยู่ภูเก็ต เริ่มต้นค้าขายก็หนีไม่พ้นฆ่าชีวิตสัตว์อีก คือ ขายปลาดุกสดในจังหวัดภูเก็ต ส่งร้านอาหารแต่ต้องหั่นสับเป็นชิ้น ทีแรกจะไม่ทำแม่ก็บอกว่าเป็นอาชีพและเป็นอาหาร เพราะว่าบ้านต้องเช่า แผงตลาดก็เช่า ข้าวก็ซื้อ และหลาน ๆ ทุกคนก็ยังเด็ก เพราะว่าพี่ชายแต่ละคนไม่มีความรับผิดชอบ เอาลูกมาให้พ่อกับแม่เลี้ยงให้ ข้าพเจ้าทำอาชีพขายปลาดุก เริ่มตั้งแต่ฆ่าด้วยเกลือใส่ปลาดุก ๑๐ กิโลก่อน พอจากนั้นก็เพิ่มเป็น ๒๐ กิโล ปลาดุกก็ดิ้นเพราะแสบร้อนเกลือที่ข้าพเจ้าเทใส่ให้ตายเพื่อเอามาหั่นขายและส่งร้านอาหาร มีวันหนึ่งข้าพเจ้านึกอย่างไรไม่รู้ ซื้อน้ำแข็งก้อนมาป่นกับน้ำแล้วเอาปลาดุกเทใส่ ไม่นานปลาดุกก็ดิ้นช็อคตาย ข้าพเจ้าเอามาหั่นเป็นชิ้นเนื้อปลาดุกจะสดกว่าใส่เกลือ และก็ฆ่าวันหนึ่งเป็น ๑๐๐ กิโลบ้าง ๓๐๐ กิโลบ้าง บางวันข้าพเจ้าฆ่าปลาไม่รู้เท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มกรรมคือการกระทำของข้าพเจ้า ตอนเช้าจะมีพระมาบิณฑบาตหน้าตลาดสดทุกวัน ข้าพเจ้าก็จะตักบาตรอุทิศบุญกุศลให้ทุกชีวิตของสัตว์ที่ข้าพเจ้าฆ่าในส่วนลึก ในใจไม่อยากจะฆ่า และคิดทุกวันว่าจะไม่ขายของมีชีวิตอีกและแล้วโชคก็เข้าข้าง ข้าพเจ้าได้มีเงินก้อนหนึ่งเปิดร้านอาหารตามสั่ง และข้าพเจ้าก็หยุดอาชีพฆ่าปลาดุกที่ทำมา ๕ ปี และมาเปิดทำร้านอาหารตามสั่งอยู่ ๓ ปี

    มรสุมชีวิตผ่านมาอีกครั้งหนึ่ง ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศคือ ประเทศเยอรมนี ปี พ.ศ.๒๕๓๘ เดือนกุมภาพันธ์ และได้อาศัยอยู่กับหลานสาวซึ่งมีครอบครัวอยู่ก่อนแล้ว และเริ่มต้นทำงานเป็นแม่ครัว หรือที่เขาเรียกว่า Koch ตามร้านอาหารไทยในเบอร์ลิน อยู่ได้ประมาณ ๕ เดือน ข้าพเจ้าไม่สบายไปหาหมอตรวจพบว่าข้าพเจ้าเริ่มเป็นโรคหัวใจ ข้าพเจ้าบอกหมอว่าข้าพเจ้าไม่เคยเป็นโรคหัวใจ หมอก็เอาเครื่องวัดหัวใจมาติดกับตัวข้าพเจ้าไว้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง พร้อมกับเช็คอุลตร้าซาวด์ดูด้วย หมอบอกว่าหัวใจของข้าพเจ้าเล็ก ทำงานเต้นช้าบ้างและเร็วบ้าง เวลาข้าพเจ้านอนก็จะบีบให้เหนื่อยหายใจลำบาก และมีอาการตกใจหมอถามประวัติว่าคนในครอบครัวมีใครเป็นบ้าง ข้าพเจ้านึกได้ว่าคุณยายนอนหลับหัวใจล้มเหลวตาย ญาติพี่น้องทางแม่เป็นโรคหัวใจโตตาย เกี่ยวกับโรคหัวใจทั้งนั้น หมอสรุปว่าข้าพเจ้าพักผ่อนไม่เพียงพอ และเป็นเพราะเกี่ยวกับพันธุกรรมด้วย แต่ก่อนอยู่ที่เมืองไทยข้าพเจ้าก็แข็งแรงดี พอข้าพเจ้าป่วยก็หาที่พึ่งทางใจ โชคดีที่มีวัดไทยใน Berlin ได้ไปทำบุญสวดมนต์เย็น และมีวันหนึ่งข้าพเจ้าได้ยืมวีดีโอของหลวงพ่อจรัญจากคุณพี่สว่างมาดู เป็นเทปประวัติชีวิตของหลวงพ่อ ก่อนจะจบม้วน หลวงพ่อเทศน์ธรรมข้าพเจ้าฟังหลวงพ่อพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย เกิดปีติในใจ มีความรู้สึกว่าหลวงพ่อมีเมตตาและห่วงใย ในใจรักหลวงพ่อเหมือนหลวงพ่อเป็นพ่อเป็นแม่ ครูบาอาจารย์ตามมาบอกให้มาหาหลวงพ่อ ขอบารมีท่านช่วย อยู่เมืองไทยไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของหลวงพ่อเลย ข้าพเจ้าเชื่อในผลบุญที่ข้าพเจ้าได้มาพบเจอหลวงพ่อ พระสุปฏิปันโน ข้าพเจ้าจดที่อยู่วัดอัมพวันเอาไว้ เมื่อกลับมาเมืองไทยประมาณปลายปี ๒๕๓๘ ข้าพเจ้านั่งรถทัวร์ไปวัดอัมพวัน พอถึงวัดอัมพวันข้าพเจ้าก็รอกราบนมัสการหลวงพ่อ มีคนเยอะมาก เวลาประมาณบ่าย ๒ โมง หลวงพ่อก็ลงมาให้ญาติโยมกราบไหว้และถามปัญหา ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่สบาย ไม่ได้ถามอะไร นั่งฟังหลวงพ่อเทศน์ให้ธรรมะ เสียงหลวงพ่อชัดเจนมาก เป็นครั้งแรกที่มากราบหลวงพ่อ ไม่ได้อยู่วัดปฏิบัติกรรมฐาน

    ปี พ.ศ.๒๕๓๙ ข้าพเจ้าไปไหว้หลวงพ่ออีก และได้กราบหลวงพ่อ ขออนุญาตถ่ายรูป เพื่อเตือนใจให้ได้ทำความดี หลวงพ่อก็เมตตา ข้าพเจ้าก็กลับเบอร์ลิน ทำงานที่ไหนก็ได้แค่ ๓ เดือน หยุด ๒ เดือน เนื่องจากร่างกายที่ไม่แข็งแรงของข้าพเจ้า เพราะโรคหัวใจบีบเต้นไม่ปกติ มีอาการเหนื่อยและหอบ พอเข้าช่วงฤดูหนาว ข้าพเจ้าจะหนาวเข้ากระดูก ต้องดื่มไวน์แดงวันละ ๒ ขวด เหมือนดื่มน้ำ เพราะว่าหมอแนะนำ แต่ต้องเป็นโรทไวน์แดง ข้าพเจ้าใส่เสื้อผ้าห่อเหมือนมัมมี่ ตอน ๓ ทุ่ม ข้าพเจ้านอนทรมานมากมีแต่ความเย็นเข้ากระดูก พอจะเคลิ้มหลับ ตี ๒ รู้สึกตัวก็คันตามตัวเหมือนเป็นลมพิษ ยิ่งเกาก็ยิ่งเป็นผื่นแดงแสบร้อนทั้งคืน เหมือนกับข้าพเจ้าเอาน้ำแข็งเทใส่ปลาดุกให้ช็อคตาย เมื่อตอนขายปลาดุกอยู่ภูเก็ต ข้าพเจ้าชอบทานปูม้า ปูทะเล เวลาทำกับข้าวจะเอาปูสด ๆ ที่ยังไม่ตายใส่หม้อนึ่งต้ม ปูก็ดิ้นในหม้อจนตาย ข้าพเจ้าไม่เคยนึกถึงเลย พอมาไม่สบายคิดขึ้นมาได้ ไม่สบายอยู่เป็นเดือน พอหายดีขึ้นมาเอาอีกแล้ว เหงือกฟันของข้าพเจ้าเกิดอักเสบขึ้นมา ปวดอย่างแรง ไปหาหมอฟันที่เบอร์ลิน หมอก็ทำการผ่าตัดเหงือกของข้าพเจ้าทั้งที่ยาชายังไม่ออกฤทธิ์ เลือดกระเซ็นเต็มหน้าข้าพเจ้า ผ่าตัดแบบหยาบ ๆ เหมือนกับหมอแกล้งข้าพเจ้า ตัดเอากระดูกรากฟันจากเหงือกออกด้วย ที่รู้เพราะว่ากลับมาเมืองไทยต้องผ่าตัดเหงือกอีกเป็นครั้งที่ ๒ หมอที่เมืองไทยบอกว่าจริง ๆ แล้ว ไม่น่าจะผ่าตัดเอากระดูกรากฟันออกเลย ข้าพเจ้านึกขึ้นได้ว่ากรรมตอนที่ข้าพเจ้าฆ่าปลาดุกคงส่งผล ข้าพเจ้าต้องดึงเหงือกปลาดุกก่อนหั่นเป็นชิ้นทุกวัน และตอนนั้นยังนึกในใจอยู่ ข้าพเจ้าอาจจะต้องถูกผ่าเหงือกบ้างก็ได้ แล้วที่ข้าพเจ้านึกไว้สมัยขายปลาดุกก็เป็นจริง

    พ.ศ.๒๕๔๐ ข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อและถามท่านเพราะตอนนั้นข้าพเจ้าไม่มีความมั่นใจในตัวที่จะทำความดี เพราะกรรมของข้าพเจ้าเยอะมากถึงไม่มีความสุข ข้าพเจ้าถามหลวงพ่อว่า ทำดีได้ดีจริงไหมคะ หลวงพ่อตอบข้าพเจ้าทำดีได้ดีซิลูก ข้าพเจ้าก็มีกำลังใจต่อสู้ และเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้ามาเข้าปฏิบัติกรรมฐาน ๕ วัน ข้าพเจ้ารู้สึกปวดหัว ปวดขามาก คิดอะไรไม่ออก กำหนดไม่ได้ เพราะมีแต่เวทนาสังขารรวมไปถึงหัวใจ เหงื่อก็ไหลแสบร้อนไปถึงใต้วงแขนข้างซ้าย และท้อต่อการปฏิบัติ ข้าพเจ้าก็ทน นึกถึงคำพูดของหลวงพ่อที่เทศน์ก่อนจะปฏิบัติว่า เข้าถ้ำแล้วอย่าออก ทนให้ถึงที่สุด ออกมาแล้วจะเป็นเหมือนชาละวันที่ไกรทองมาท้าตีท้าต่อย กลายเป็นจระเข้ทันที และเวลาฟัง หลวงพ่อเทศน์ธรรมะ ข้าพเจ้าจะอธิษฐานจิตอยู่เสมอว่า ขอให้ข้าพเจ้าจำธรรมคำสอนของหลวงพ่อไว้ในสมองให้ได้ เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นคนมีปัญญาน้อย เวลาข้าพเจ้ามีปัญหาก็จะเอาสติคิดถึงคำหลวงพ่อพูดมาแก้ปัญหา และนึกถึงบารมีหลวงพ่อช่วยให้ลูกมีสติปัญญาแก้ไขปัญหา

    ข้าพเจ้าอดทนอยู่ครบ ๕ วัน แต่จับอะไรก็ไม่ได้มีแต่ฟุ้งซ่าน หลังจากได้ปฏิบัติกรรมฐานครั้งแรกแล้ว ข้าพเจ้าก็กลับเบอร์ลิน ปกติจะอยู่กับหลานสาวและดูแลลูกชายของหลานสาว ได้อาศัยบ้านหลานสาวเป็นที่พักพิงเวลาอยู่เบอร์ลิน และคิดว่าจะทำงานเก็บเงินอย่างเดียว พอได้เงินสักก้อนก็จะกลับมาอยู่เมืองไทยบ้านเกิดเมืองนอน เพราะเบื่อชีวิตคู่ที่ไม่สมหวัง ข้าพเจ้าได้เห็นคนไทยที่เบอร์ลินมีปัญหาครอบครัวมาก เพราะนิสัยประเพณีต่างกัน ขาดความอดทนซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะภาษาที่จะสื่อสารกันลำบากมากทีเดียว แต่ข้าพเจ้าก็หนีไม่พ้นที่จะต้องมีชีวิตคู่อีกครั้ง และครั้งนี้เป็นคนเยอรมนี ซึ่งเป็นจริงตามคำที่ว่า “เวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ วิญญาณจะนำไปเกิด ไกลแสนไกลก็ต้องมาเจอกัน ชดใช้หนี้กรรมที่ได้เคยทำร่วมกันไว้ เว้นแต่อาจจะต่างกันที่ร่างกายหรือสัญชาติ จะเกิดเป็นชาติไหนเท่านั้นเอง” และข้าพเจ้าก็ได้มาอยู่กับแฟนที่บ้านของแฟน โดยอยู่ด้วยกันเสมือนเป็นเพื่อน แฟนของข้าพเจ้ามีอาชีพส่วนตัว คือ รับจ้างทาสีบ้านกับรับงานขนส่ง พ่อแฟนอายุ ๘๖ ปี ป่วยเป็นอัมพาตเดินเหินไม่ได้ แฟนจึงย้ายมาอยู่กับพ่อเพื่อดูแลพ่อ

    ปกติชาวต่างประเทศที่ไม่ใช่ชาวเอเชีย จะพาพ่อแม่ที่เริ่มอายุมากขึ้นที่ไม่สบายไปอยู่โรงพยาบาลคนชรา เวลาป่วยก็จะพากันไปเยี่ยมอาทิตย์ละ ๑ ครั้ง แต่แฟนของข้าพเจ้าไม่ยอมทำเช่นนั้น ซึ่งแฟนบอกว่า “พ่อของผม ผมจะดูแลเอง ผมรักพ่อมาก” และแฟนจะเป็นคนที่อยู่ปรนนิบัติพ่อที่บ้านทุกวัน อุ้มพ่ออาบน้ำ เช็ดตัว ทำอาหาร ให้ทานทุกอย่าง ดูแลพ่อเอง โดยแฟนของข้าพเจ้าได้เอาใจใส่ดูแลคุณพ่ออย่างนี้ทุกวันมาเป็นเวลา ๕ ปี และพ่อของแฟนก็ได้เสียชีวิตลง ในเวลาที่พ่อของแฟนยังมีชีวิตอยู่นั้น ข้าพเจ้าไม่ได้ทำงานนอกบ้าน ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านอย่างเดียว ทุกวันอาทิตย์ข้าพเจ้าจะไปทำบุญที่วัดไทยในกรุงเบอร์ลินเป็นประจำ ต่อมาเริ่มมีปัญหากับแฟนโดยไม่มีสาเหตุ อยู่ด้วยกันประมาณ ๖ เดือน แฟนก็ขนเสื้อผ้าของข้าพเจ้าไปไว้ที่บ้านหลานสาว และข้าพเจ้าก็กลับไปอยู่กับหลานได้ ๑ เดือน แฟนก็ไปรับข้าพเจ้ากลับมาอยู่ด้วยกันอีกเหมือนเดิม ต่อมาแฟนเริ่มมีผู้หญิงมาติดพันและกลับบ้านดึก ๆ เป็นประจำ เวลาข้าพเจ้าถามเขา เขาจะโมโห แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร ผิดหรือถูกข้าพเจ้าจะต้องนิ่งอย่างเดียว มีครั้งหนึ่งแฟนไม่ยอมกลับบ้าน ข้าพเจ้าก็ได้สวดมนต์ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ที่บ้านคนเดียว และเปิดเทปธรรมะของหลวงพ่อฟังอยู่บ่อย ๆ และวันนั้นเหมือนหลวงพ่อท่านรู้ เพราะเทปก็มีหลายสิบม้วนข้าพเจ้าไม่หยิบ ไปหยิบเอาม้วนที่หลวงพ่อได้เทศน์ไว้ซึ่งตรงกับปัญหาที่ข้าพเจ้าเป็นอยู่พอดี หลวงพ่อท่านได้เทศน์ว่า “คนชั่วออกนอกบ้านไม่ต้องตาม สวดมนต์อยู่บ้านแผ่เมตตาให้เขามีความสุข และสติบอกว่ากรรมเราทำไว้จะต้องรับ”

    พ.ศ.๒๕๔๑-๒๕๔๒ ข้าพเจ้ามาเมืองไทยก็ไปกราบหลวงพ่อ และปฏิบัติกรรมฐานทุก ๆ ครั้ง ที่มาเมืองไทย หลวงพ่อจะพูดอยู่เสมอว่า “ไปให้ลา มาให้ไหว้” ก่อนข้าพเจ้าอยู่กับแฟนก็ได้ผ่านอุปสรรคมาหลายอย่าง เป็นเพราะบารมีหลวงพ่อช่วยชี้แนะให้ข้าพเจ้ามีความอดทนต่อสู้เป็นสมบัติของคนดี พอปี พ.ศ.๒๕๔๓ ข้าพเจ้ากับแฟนมีปัญหา แฟนบอกจะเลิก โดยได้ขนสัมภาระของข้าพเจ้าไปส่งให้ข้าพเจ้าที่วัดไทยในเบอร์ลิน เพราะแฟนเห็นข้าพเจ้าชอบทำบุญ เดือดร้อนถึงพระสงฆ์ที่อยู่ที่วัด ต้องออกมาช่วยขนสัมภาระของข้าพเจ้าไปเก็บรักษาให้ โดยมีคุณแม่ชีนงเยาว์ คุณพี่เรณู เป็นผู้แบกหามไปไว้ในห้องเก็บรักษาของ ซึ่งข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง ข่าวของข้าพเจ้าดังไปทั่วเบอร์ลิน คนไทยเห็นหน้าข้าพเจ้าก็ถามข้าพเจ้าว่าทำบุญยังไงถึงให้แฟนขนของไปไว้ที่วัด วิบากกรรมของข้าพเจ้าเอง และนึกอยู่ในใจว่าขอขอบพระคุณแฟนที่ทำให้ข้าพเจ้ามีความมานะอดทน ข้าพเจ้าไม่โกรธแฟน และมีแต่ความเมตตาสงสาร มารไม่มี บารมีไม่เกิด หลวงพ่อเทศน์เพราะทำความดีต้องผ่านปัญหาอุปสรรค เอาความทุกข์กายทุกข์ใจและแบกรับสุด ๆ แล้ว ถึงจะเจอความสุขได้ ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบกับใคร เงียบนิ่ง ข้าพเจ้าได้ฝากเก็บสิ่งของทั้งหมดไว้ที่วัด และคิดว่า คราวนี้ต้องเลิกแน่ ๆ ข้าพเจ้าไม่มีลูกกับแฟนเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้เป็นภาระ ข้าพเจ้าบินกลับเมืองไทย ไปวัดอัมพวันหาหลวงพ่ออันเป็นที่พึ่งสุดท้ายของข้าพเจ้า ก่อนปฏิบัติกรรมฐานหลวงพ่อท่านลงมาเทศน์ธรรมะให้ฟังก่อน ข้าพเจ้าไปกราบนมัสการ หลวงพ่อเทศน์ธรรมะเรื่องของครอบครัว สามี-ภรรยา ที่มีปัญหา ให้กราบเท้าขอขมาลาโทษ อย่าคิดว่าเราถูกเสมอ บางครั้งตัวเราก็ผิด ต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน และให้อดทน ข้าพเจ้าอยู่ปฏิบัติกรรมฐานได้ ๙ วัน ตอนเช้าก่อนกลับก็ไปกราบอธิษฐานจิตที่รูปปั้นหลวงพ่อว่า ลูกจะไปกราบหลวงพ่อที่กุฏิ และมีคำถามที่จะขอถามหลวงพ่อ ในเวลา ๑๐ โมง หลวงพ่อท่านลงมาท่านก็มองหน้าข้าพเจ้า หลวงพ่อท่านก็ให้พรเป็นสิริมงคลแก่ญาติโยมที่มาถวายสังฆทานและทำบุญ เสร็จแล้วก็ให้ทุก ๆ คนไปทานข้าว ข้าพเจ้าถามหลวงพ่อว่า ลูกอยู่เบอร์ลินมีปัญหามากเหลือเกิน จะแก้ปัญหาได้อย่างไร หลวงพ่อพูดว่าให้ข้าพเจ้าสวดมนต์บทพาหุงมหากา ถึงเวลาแล้วบารมีก็เกิดเอง พอข้าพเจ้าได้ยินหลวงพ่อพูดบอก ในใจมีความปีติดีใจอย่างน่าอัศจรรย์ เหมือนกับความทุกข์หลุดออก มีกำลังใจเข้ามาแทน เพราะข้าพเจ้าไม่เคยสวดพาหุงกับอิติปิโสเลย สวดแต่พระคาถาชินบัญชร

    ข้าพเจ้ายังอยู่เมืองไทยต่ออีก ๕ เดือน ว่างก็ไปเข้าปฏิบัติกรรมฐานเดือนละครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากเลิกปฏิบัติกรรมฐานบวกกับหลวงพ่อแผ่เมตตาช่วย เวลาเที่ยงคืนแฟนโทรศัพท์มาจากเยอรมนี ขณะนั้นที่เยอรมนีเป็นเวลา ๖ โมงเย็น ข้าพเจ้านึกถึงหลวงพ่อในใจเพื่อขออนุญาตรับโทรศัพท์ เพราะว่าจะทำอะไรอยู่ในวัด หลวงพ่อท่านจะรู้หมด แฟนโทรศัพท์มาบอกว่าได้ฝากเงินให้กลับเบอร์ลินแล้ว สตินึกได้ ข้าพเจ้าคิดถึงพ่อกับแม่ของข้าพเจ้า ตอนเป็นเด็กพ่อกับแม่ทะเลาะกันทีไร แม่จะขนสัมภาระไปอยู่กับน้องสาวแม่บ่อยครั้ง เวลามีปัญหากับพ่อเป็นเดือน พ่อก็จะเอาดอกไม้ไปขอโทษแม่ แม่ถึงจะได้กลับบ้าน ข้าพเจ้าเป็นเด็กเห็นตอนนั้นก็คิดว่าถ้ามีชีวิตคู่แบบพ่อกับแม่ทะเลาะเบาะแว้งกันก็จะไม่เอาคู่ชีวิตแบบนี้ เพราะไม่ชอบ หลวงพ่อท่านเทศน์ไว้ว่า “ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ ยิ่งไม่ชอบก็ยิ่งได้ในสิ่งที่ไม่ชอบนั้น” แต่ชีวิตคู่ของข้าพเจ้าก็ต่างจากชีวิตคู่ของพ่อกับแม่อยู่บ้าง เพราะพ่อชอบทานเหล้า แต่แฟนของข้าพเจ้าบุหรี่ไม่สูบเหล้าไม่ทาน และหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็กลับมาเบอร์ลิน อยู่กับแฟนเหมือนเดิม และไปรับเอาสัมภาระที่แฟนขนไปไว้ที่วัดไทยในเบอร์ลินกลับ โดยที่ข้าพเจ้าได้พาแฟนไปกราบไหว้หลวงพ่อพระประธาน และแฟนพูดตามข้าพเจ้าเป็นภาษาไทยว่า “ขอให้หลวงพ่อพระประธานอโหสิกรรม ขออโหสิกรรมต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วย” แฟนก็พูดเป็นภาษาไทยว่า “อโหสิกรรม”๓ ครั้ง โชคดีที่มีพระไทยที่วัดในเบอร์ลินเข้าใจในปัญหาของครอบครัว ท่านได้เมตตาดูแลสัมภาระของข้าพเจ้าที่ได้ฝากไว้ตั้งหลายเดือน และข้าพเจ้าก็ทำตามคำสอนของหลวงพ่อท่าน คือกลับไปก็กราบเท้าสามีทุกครั้ง เผื่อทำความดีจะได้ไม่มีอุปสรรค เวลาไปทำบุญบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมที่วัดไทยในเบอร์ลิน ในวันสำคัญของพระพุทธศาสนาและเริ่มต้นสวดพาหุง อิติปิโส ชีวิตก็ดีขึ้น

    พ.ศ.๒๕๔๔ ข้าพเจ้าเกิดเป็นโรคภูมิแพ้ฝุ่นละอองทำให้ระคายเคืองตา หูก็อักเสบ มีน้ำหนวก เป็นอยู่ ๓ เดือน ไปหาหมอหูตรวจอีกทีที่เบอร์ลินก็ไม่หาย พอดีเข้าช่วงฤดูหนาว ข้าพเจ้ากลับมาเมืองไทย และไปหาหมอตรวจหูอักเสบที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ หมอบอกว่าแก้วหูของข้าพเจ้าอักเสบทะลุ จะต้องผ่าตัด ข้าพเจ้าถามค่ารักษาพยาบาลประมาณเท่าไหร่ หมอบอกว่า ๒ หมื่นบาท แต่ลดให้ ข้าพเจ้าก็บอกหมอว่า ขอกลับไปคิดดูก่อน ยังไม่ผ่าตัดตอนนี้ และเดินทางต่อไปยังวัดอัมพวันไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ตอนนั้นหลวงพ่อเทศน์ว่ามีคนเป็นหูน้ำหนวกรักษาไม่หาย พอสวดพาหุงแล้วหายจากโรคหูน้ำหนวกอักเสบ ให้สวดพาหุง มาก ๆ ข้าพเจ้ารู้ทันทีว่าหลวงพ่อเทศน์บอก เวลาคนมีปัญหามาท่านจะเทศน์รวม ที่ข้าพเจ้าเคยสวดวันละครั้ง ก็เริ่มสวดทั้งเช้าทั้งเย็นและหลาย ๆ รอบ สติคิดออก นึกได้ว่าตอนเป็นเด็กที่บ้านมีมดแดงไฟอยู่ใต้ถุนบ้าน เวลาเดินผ่านมดแดงไฟจะกัดขาแสบร้อน ในตอนนั้นข้าพเจ้าได้ต้มน้ำร้อนเดือด ๆ ไปเทลงหลุมมดแดงไฟตายเรียบ ข้าพเจ้าเชื่อว่ากรรมกำลังตามสนองการกระทำของข้าพเจ้า และไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เป็นความจริงเรื่องกฎแห่งกรรม

    หลังจากที่ข้าพเจ้าได้สวดพาหุง ๑ อาทิตย์ หูน้ำหนวกก็หยุดไหล และแห้งหายโดยไม่ต้องผ่าตัด อานุภาพการสวดพาหุงฯ แท้ ๆ ที่ช่วย และในเวลา ๒ สัปดาห์ต่อมาข้าพเจ้าก็เกิดปวดท้องข้างซ้าย ไปหาหมอที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ เอ็กซเรย์ดูก็เห็นก้อนเนื้อ หมอบอกว่าเป็นเนื้องอกในมดลูกต้องผ่าตัดออก แต่ข้าพเจ้าบอกหมอว่าไม่ผ่าตอนนี้ จะกลับไปรักษาที่เบอร์ลิน เพราะข้าพเจ้ามีใบประกันสุขภาพ

    ก่อนกลับเบอร์ลินข้าพเจ้าไปที่วัดอัมพวัน ได้ไปปฏิบัติกรรมฐานอีก ๗ วัน และอธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อแผ่เมตตาช่วยให้อย่าได้ผ่าตัดเลย เพราะข้าพเจ้ามีโรคประจำตัวคือ โรคหัวใจ และให้สัจจะว่าจะเดินจงกรม ๑ ชั่วโมงครึ่ง นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมงครึ่ง ช่วงที่อยู่วัด ๗ วัน เพราะที่ผ่านมาได้เดินจงกรม ๓๐ นาที นั่งสมาธิ ๓๐ นาที และปฏิบัติได้ ๓ วันตามกำหนด เวลารู้สึกปวดท้องข้างซ้ายทีไรรู้สึกเวทนาตัวเองเป็นอะไรที่ทรมานมาก ๆ ข้าพเจ้าถึงกับร้องไห้ด้วย พอวันที่ ๔ ก่อนเข้าปฏิบัติรอบบ่าย นั่งอธิษฐานจิตที่หน้ารูปปั้นหลวงพ่อ บอกว่าลูกขอขมาอโหสิกรรมที่ลูกให้สัจจะแล้วทำไม่ได้ ขอเปลี่ยนเดินจงกรมเวลา ๑ ชั่วโมง นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง พอเริ่มเดินจงกรมก็เกิดมีพลังเดินจงกรมได้ ๑ ชั่วโมงครึ่ง เวลานั่งสมาธิก็ยังปวดที่ท้องน้อยข้างซ้ายเหมือนเดิม ยิ่งเจ็บทรมานมาก ประจวบกับเกิดอาการระคายคอ ไออยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าเกรงใจคนที่กำลังปฏิบัติธรรม แต่ละท่านเงียบสงบ มีแต่ข้าพเจ้าคนเดียวเกิดอาการระคายคอ ไอเสียงดังมาก เกือบจะทนไม่ได้ จะลุกขึ้นเดินต่อ สติก็นึกถึงคำพูดหลวงพ่อขึ้นมาว่า ปฏิบัติกรรมฐานไม่มีใครเคยตาย หลวงพ่อสอนมา ๔๕ ปีแล้ว ถ้าตายท่านจะจัดการศพให้พร้อมทั้งบังสุกุลพร้อม การทำความดีต้องฝืนใจ มีสัจจะอดทนตายเป็นตาย ข้าพเจ้าคิดว่าตายอยู่กับหลวงพ่อนี่แหละ เพราะออกไปข้างนอกก็ตาย และกำหนดปวดหนอ ตายแล้วหนอ พอปวดมาก ๆ เข้าก็นึกถึงนาฬิกาเมื่อไหร่จะดังบอกเวลา ปวดหนัก ๆ เข้าก็เรียก หลวงพ่อช่วยลูกด้วย ปรากฏว่าตอนที่นั่งสมาธิ เหมือนมีคนยืนอยู่ข้างหลัง มาช่วยเป่าไม่ให้เจ็บปวดมาก ตอนที่ข้าพเจ้าไอมีความรู้สึกว่ามีก้อนลอยหลุดขึ้นมาจากท้องผ่านลำคอออกมาทางปาก สติรู้ทันทีว่าหลวงพ่อแผ่เมตตามาช่วย นี่แหละคือกรรมที่เราเคยสั่งคนรับจ้างฆ่าควายดำที่มีท้องอ่อนให้เรารู้ว่ามันโหดร้ายทารุณแค่ไหน ทุกชีวิตรักตัวกลัวตาย เหมือนกับข้าพเจ้าตอนนี้รักชีวิตของตัวเองมากขึ้นทุกที พอนั่งสมาธิครบ ๑ ชั่วโมงครึ่ง ข้าพเจ้าก็แผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้ฆ่า อย่าได้มีเวรผูกอาฆาตข้าพเจ้ากับครอบครัวเลย

    จากนั้นข้าพเจ้าก็กลับมาเบอร์ลิน ไปให้หมอที่โรงพยาบาลตรวจ หมอก็บอกว่าเป็นเนื้องอก เพราะว่าฉายเอ็กซเรย์ดูเห็นเป็นก้อนเนื้อลูกกลม ๆ เหมือนกับมีชีวิต วิ่งไปวิ่งมา เกาะตามผนังมดลูก จะต้องผ่าตัดออก แต่ข้าพเจ้าไม่มีลูก หมอที่เยอรมนีไม่ให้รีบร้อนผ่าตัดตอนนั้น ให้ดูอาการอีก ๑ เดือน พร้อมกับให้ข้าพเจ้าทดลองกินยาเม็ดรักษาดู ข้าพเจ้าก็อธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อ ขอให้ยาที่กินถูกกับโรคที่ป่วยอยู่ ไม่นานข้าพเจ้าก็ดีขึ้น เพราะกินยารักษาถูกกับโรคที่เป็นอยู่ และไม่ต้องผ่าตัด ก้อนเนื้อที่มดลูกก็ยุบลง ไม่มีอาการเจ็บที่ท้องอีกเลย

    พ.ศ.๒๕๔๕ ข้าพเจ้ามาเมืองไทยโดยพาแฟนมาด้วยและมาอยู่ที่เมืองไทย ๓ อาทิตย์ แฟนเกิดปัญหากับข้าพเจ้า ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าระวังการสื่อสารกันเป็นอย่างมาก เพราะในบางครั้งก็ฟังถูกเป็นผิด แฟนบินกลับเยอรมนีก่อนและหลังจากแฟนกลับไปได้ ๑ อาทิตย์ หลานสาวก็โทรศัพท์มาบอกให้ข้าพเจ้ารู้ว่าแฟนของข้าพเจ้าโทรศัพท์พูดคุยกับหลานสาวของข้าพเจ้าว่าจะเลิกกันเด็ดขาด แต่ข้าพเจ้ายังอยู่เมืองไทยต่อ คิดว่าอะไรมันจะเกิดก็ขอให้มันเกิด โดยข้าพเจ้าได้ยึดมั่นคำสอนของหลวงพ่อที่ท่านได้เทศน์ไว้ว่า “ขาดน้ำเราต้องสิ้นชีวิตเพราะแล้งน้ำ แต่ขาดสามีเราไม่ตาย คนเราเกิดมาไม่จากกันตอนมีชีวิต ก็ต้องจากกันตอนตาย” ต้องขอขอบคุณความลำบาก ถ้าไม่มีความลำบากก็ไม่เห็นธรรม

    ข้าพเจ้าไปวัดอัมพวันปฏิบัติกรรมฐานอีก ๗ วัน พอวันจะเดินทางกลับก็ไปลาหลวงพ่อ พูดกับหลวงพ่อว่าลูกจะกลับเยอรมนีแล้ว ขอบารมีหลวงพ่อช่วยแผ่เมตตาช่วยลูกด้วย หลวงพ่อก็พยักหน้ารับรู้ความทุกข์ของข้าพเจ้า เพราะว่าหลวงพ่อไม่มีเสียงและอาพาธ ข้าพเจ้ากลับมาเบอร์ลินก็ไปพักอยู่กับหลานสาว และโทรศัพท์พูดคุยกับแฟนเขาปฏิเสธอย่างเดียวว่า แยกทางกัน ไม่มีวันที่จะคืนดีกันอีกแล้ว แฟนถามข้าพเจ้าว่า ทำไมคุณได้เข้ามาอยู่ในชีวิตของผม ข้าพเจ้าก็ตอบเป็นภาษาเยอรมันว่า “Das Karma” คือ “กรรม” แฟนของข้าพเจ้าเงียบไม่ได้ตอบ และหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ได้เจอแฟนอีกเป็นเดือน ช่วงที่พักอยู่บ้านกับหลานสาว ข้าพเจ้าก็สวดมนต์ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ทุกวัน วันอาทิตย์ก็ไปทำบุญที่วัด และอธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อช่วยลูกด้วย อยู่ ๆ แฟนของข้าพเจ้าก็ติดต่อมา บอกว่าจะช่วยหาบ้านให้อยู่ เป็นบ้านที่เขาเช่าไว้ให้เพื่อนมาหาเวลาทำงานพิเศษ และก็มารับข้าพเจ้าไปบ้านพักที่จะให้ข้าพเจ้าไปอยู่ และแฟนของข้าพเจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนด้วยเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ คืนแรกข้าพเจ้าฝันเห็นหลวงพ่อจรัญ แต่ยังไม่ทันที่จะยกมือไหว้หลวงพ่อ ก็ตกใจตื่น ข้าพเจ้าเชื่อและศรัทธาหลวงพ่อมาก ๆ ขนาดอยู่ไกลถึงต่างประเทศ ข้าพเจ้าขอพึ่งบารมีความเมตตากรุณาของหลวงพ่อให้ช่วยอีกครั้ง ขอบุญบันดาลจิตใจให้แฟนของข้าพเจ้ารัก เมตตาสงสารข้าพเจ้า คิดถึงความดีที่ข้าพเจ้าไม่โกรธแฟนทุกครั้งที่มีปัญหาทะเลาะกัน มีแต่ความปรารถนาดีต่อแฟน

    หลวงพ่อท่านทำงานหนักมากแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน เพื่อช่วยเหลือให้ทุกคนพ้นจากกองทุกข์ที่แบกปัญหาไปให้หลวงพ่อ ท่านชี้แนะทั้ง ๆ ที่เป็นกรรมการกระทำของข้าพเจ้าเอง โดยที่หลวงพ่อท่านไม่รู้เรื่องด้วยเลย แต่ท่านก็เมตตาสงสารชีวิตของข้าพเจ้า ให้ผ่านพ้นจากอุปสรรคปัญหาเหล่านั้นมาโดยแคล้วคลาดอย่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ

    พ.ศ.๒๕๔๗ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมาเมืองไทยก็เจอกับอุปสรรคอีกครั้งหนึ่ง อยู่ดี ๆ ก็เกิดไม่สบายเป็นไข้หวัดใหญ่ขึ้นมา เป็นอยู่ ๒ สัปดาห์ข้าพเจ้าก็หาย แฟนของข้าพเจ้าก็เป็นต่อ กินอะไรก็อาเจียน ถ่ายท้อง กลางคืนก็นอนละเมอ ตัวร้อนจัด ไข้ขึ้นสูง หมอฉีดยาให้และบอกว่าเป็นเพราะเชื้อราซึ่งติดอยู่ในอาหารที่รับประทาน พอหมอกลับไป แฟนก็มีอาการหนัก บอกให้ไปโรงพยาบาลก็ไม่ไป ต้องนอนซมทรมานเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ จากคนอ้วนก็ผอมลง สามวันดีสี่วันไข้

    อีก ๓ สัปดาห์ ข้าพเจ้าจะต้องกลับเมืองไทย แต่ถ้าแฟนไม่หายป่วยข้าพเจ้าก็ไม่สามารถมาเมืองไทยได้ ตั๋วเครื่องบินก็ซื้อเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าได้แต่นั่งสวดมนต์ สติคิดขึ้นมาได้ว่าให้หลวงพ่อช่วยดีกว่า ข้าพเจ้าจึงโทรศัพท์จากเยอรมนีถึงท่านพระครูธเนศ ซึ่งท่านได้ช่วยเขียนชื่อของแฟนข้าพเจ้าจัดส่งให้หลวงพ่อท่านช่วยแผ่เมตตาให้หายจากการเจ็บไข้ในครั้งนี้ พอตกตอนเย็นแฟนทานข้าวได้ ตกดึกข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรลอยเบาอยู่ในห้องที่แฟนกับข้าพเจ้านอนอยู่ ข้าพเจ้ารู้ทันทีว่าหลวงพ่อแผ่เมตตามาช่วยแฟน ตอนเช้าข้าพเจ้าตื่นก่อน แฟนตื่นเอาเที่ยงวัน ลุกขึ้นเดินเหินเหมือนคนไม่เป็นอะไร กินอาหารได้เยอะ ดื่มกาแฟเป็นปกติและหาย มีกำลังเหมือนเดิม หน้าตาจากที่ซีดก็สดใส หายจากที่ป่วยอยู่นานถึง ๓ สัปดาห์ เพราะบารมีหลวงพ่อช่วยแท้ ๆ ข้าพเจ้าจึงได้เดินทางมาเมืองไทยอย่างที่มุ่งหวังไว้

    ข้าพเจ้ามาอยู่เบอร์ลินไม่เคยลืมบูชากราบไหว้ระลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่พระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเบอร์ลิน ทรงปูพื้นฐานมิตรไมตรีและสร้างคุณงามความดีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ให้ข้าพเจ้าและชาวไทยทั้งหลายอยู่อย่างปลอดภัยและแคล้วคลาด ด้วยพระบารมีขององค์พระมหากษัตริย์ไทย พร้อมทั้งคณะพระธรรมทูตไทยที่อยู่เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และขอกราบนมัสการแทบเท้าขอบพระคุณ (เจ้าอาวาส) ท่านพระมหาพะยอม สุทสฺสโน กับท่านพระมหาบุญมา ปุญญานนฺโท หากวันที่มีปัญหานั้นไม่ได้ความเมตตาปรานีจากท่านทั้งสองรูป ข้าพเจ้าคงจะไม่มีวันชนะอุปสรรคผ่านความลำบากได้ ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าอยู่กับแฟน ๘ ปี หากไม่ได้บารมีของหลวงพ่อท่านเมตตาช่วย กับการปฏิบัติกรรมฐานแล้ว ชีวิตคู่ของข้าพเจ้าคงจะต้องเลิกราไปตั้งแต่อยู่ด้วยกันปีแรกแล้ว

    เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๘ ข้าพเจ้าจะมาที่ประเทศไทยเพื่อมาปฏิบัติธรรม เวลาอยู่ที่เบอร์ลินข้าพเจ้าปฏิบัติกรรมฐานอยู่บ้านเป็นประจำ พอสวดมนต์เสร็จข้าพเจ้าก็เดินจงกรม พอเดินได้สักพักสติก็คิดถึงว่าทุก ๆ ปี ที่มากราบนมัสการหลวงพ่อ ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตหลวงพ่อเอาหนังสือสวดมนต์ที่ญาติโยมพิมพ์มาถวายไว้แจกที่กุฏิกลับมาแจกให้คนที่รู้จักและไม่รู้จักที่เบอร์ลินให้ได้ไว้สวดมนต์ข้าพเจ้าคิดว่าจะต้องพิมพ์หนังสือไปถวายหลวงพ่อคืนบ้างและได้อ่านประวัติของคุณเสรี พิมพ์หนังสือแจกช่วยหลวงพ่อเพื่อสร้างบารมี และได้ความรู้ตรงนี้ด้วย ข้าพเจ้าก็อธิษฐานจิตว่าหลวงพ่อ ลูกจะพิมพ์หนังสือ ลูกมีทุนอยู่ ๕๐ ยูโร ลูกขอพรบารมีหลวงพ่อช่วยลูกพิมพ์ถวายสัก ๒,๐๐๐ เล่ม และข้าพเจ้าจะสวดมนต์ทุก ๆ วัน และแผ่เมตตาถึงเพื่อน ๆ ญาติธรรมที่เคยร่วมสร้างบารมีให้มาช่วย เพราะทุก ๆ ท่านรู้จักหลวงพ่อและสวดพาหุง อิติปิโส ปรากฏว่าข้าพเจ้าจัดพิมพ์หนังสือได้ ๑๑,๕๕๕ เล่ม จากที่คิดไว้แค่ ๒,๐๐๐ เล่ม ได้เพิ่มมาเป็น ๑๐ เท่าตัว ด้วยความศรัทธาอยากทำความดี หลวงพ่อเปิดทางให้ข้าพเจ้าเจอแต่กัลยาณมิตรที่มีเมตตา เอาปัจจัยมาร่วมทำหนังสือ พร้อมถวายปัจจัยหลวงพ่อด้วย

    ข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณ คุณทิพา สรกุล เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังสวนจิตรลดา ที่ได้ตามเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๓๘ ได้เจอกับคุณทิพา สรกุล โดยบังเอิญ ซึ่งได้นำข้าพเจ้ากับน้องสาวเข้าไปกราบไหว้เคารพพระศพสมเด็จย่า ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท คุณทิพาเป็นคนต้อนรับที่มีน้ำใจ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักหรือเจอกันมาก่อน เหมือนบุญจัดสรรให้ข้าพเจ้าไม่ต้องรอคิวยาว

    ก่อนกลับคุณทิพาพูดบอกข้าพเจ้าว่า “หนูอยู่ต่างประเทศช่วยบอกคนไทยให้ไหว้พระสวดมนต์ด้วยนะ เพราะว่าพ่อหลวงของเรา (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) ท่านจะปฏิบัติธรรมสวดมนต์อยู่ทุกวัน เราต้องเอาแบบอย่างท่านด้วย” คุณทิพากล่าว และทุกวันนี้ถ้าข้าพเจ้าเจอคนไทยที่มีปัญหาและพอพูดบอกเขาได้ ข้าพเจ้าจะแนะนำให้สวดมนต์ อิติปิโส พาหุง ของหลวงพ่อ

    หลวงพ่อท่านพูดว่า เราต้องเอาความลำบากสอนตัวเราเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยบอกกล่าวกับคนอื่น เท่าที่เราจะแนะนำได้ และขอขอบพระคุณแม่ชีอาจารย์พันธ์ทิพย์ แม่ชีสมคิด คุณแม่ยุพิน และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ที่ให้ความรู้ความสะดวก ความเมตตาทุก ๆ ครั้งที่มาปฏิบัติกรรมฐานในประเทศไทย

    ในวาระครบ ๗๗ ปี ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อลูกขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก โปรดคุ้มครองปกป้องรักษาหลวงพ่อให้มีอายุยืนนาน เพื่ออยู่สืบทอดพระศาสนา อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้แก่ลูกศิษย์ และสิ่งไหนที่ลูกผิดพลาดไป จะทางกายวาจาใจก็ตาม เจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ขอให้อโหสิกรรมแก่ลูกด้วย ถ้าบุญกุศลที่ลูกทำยังมีอยู่ก็ขอให้ลูกมีโอกาสได้เจริญก้าวหน้าในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วย

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›