๑๗/๑๖ กรรมฐานช่วยให้ได้ของคืน

พัฒนกร วิภาทิน

    กระผมนายพัฒนกร วิภาทิน ได้รับประสบการณ์จากการปฏิบัติกรรมฐานเป็นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๓๙ ขณะนั้นกระผมเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ ๒ โดยคุณแม่วรพนิต วิภาทิน ได้พากระผมเข้าปฏิบัติธรรมเป็นระยะเวลา ๗ วัน ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน โดยความเมตตาของท่านพระครูวินัยธรธีรวัฒน์ ฐานุตฺตโร หลังจากนั้นกระผมก็ได้ตามคุณแม่เข้าไปที่ศูนย์อยู่เป็นประจำในช่วงวัดหยุดและช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ซึ่งกระผมจะเข้าไปช่วยที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งเปิดเทอม และสิ่งที่กระผมภูมิใจอย่างมากก็คือ การที่ได้รับคัดเลือกให้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัด อัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ในโครงการสามเณรใจเพชร ของยุวพุทธิกสมาคม แห่งประเทศไทย ในการบวชเณรครั้งนั้นกระผมได้รับการพิจรณาให้เป็นสามเณรดีเลิศ และเป็นประธานรุ่นในปีนั้น (พ.ศ. ๒๕๔๓) ด้วย

    ต่อมาหลังจากจบมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยาคม อาจเป็นเพราะบุญกุศลที่คุณแม่ท่านได้สร้างไว้ให้กับตัวกระผมบวกกับความเพียรพยายามและความอดทนทำให้กระผมสอบเอ็นทรานซ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในคณะสหเวชศาสตร์ สาขากายภาพบำบัดได้

    กระผมมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความอัศจรรย์จากผลของการปฏิบัติธรรมมาให้ท่านได้พิจารณา ซึ่งเป็นเรื่องของการปฏิบัติและการอธิษฐานจิตจนทำให้ได้ของที่กระผมรักมากกลับคืนมา ดังต่อไปนี้

    ในตอนเช้าวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕ กระผมอยู่ในห้องพัก ได้เข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเตรียมตัวจะไปเรียนและได้วางโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งซื้อมาได้ประมาณ ๒ เดือนพร้อมเงิน ๘๐๐ บาท ไว้ที่หัวเตียงนอน กระผมรักโทรศัพท์เครื่องนี้มากเพราะอุตส่าห์เก็บเงินซื้อด้วยตนเองด้วยความอยากลำบาก

    กระผมเข้าไปอาบน้ำประมาณ ๑๐ นาที ซึ่งในตอนนั้นเพื่อนร่วมห้องของกระผมทั้ง ๓ คนกำลังนอนหลับสนิทกันอยู่ ด้วยความประมาทกระผมไม่ได้ล็อคห้อง เพราะคิดว่าคงไม่มีใครกล้าเข้าไปทำอะไรในห้องในขณะนั้นได้อย่างแน่ออน

    แต่กระผมคิดผิด เพราะเมื่อกลับเข้ามาในห้องก็ต้องตกใจมาก เพราะพบว่าโทรศัพท์กับเงินได้หายไป กระผมมองไปยังเพื่อนๆซึ่งทุกคนก็ยังหลับสนิทกันอยู่ กระผมจึงต้องปลุกขึ้นมาถาม ไม่มีใครทราบเลยว่าเงินกับโทรศัพท์หายไปได้อย่างไร พยายามนึกทบทวน ก็จำได้อย่างแม่นยำว่าเพิ่งวางไว้ เหตุการณ์ยังไม่ถึงสิบห้านาทีเลย กระผมยังนึกโทษเพื่อนเลยว่าเพื่อนหยิบไป จึงรีบตามเช็คกับเพื่อนแต่เพื่อนก็ปฏิเสธ ทำให้กระผมกลุ้มใจมาก จึงรีบโทรศัพท์ไปหาคุณแม่ทันทีในตอนนั้น ซึ่งเป็นเวลาประมาณ ๐๘.๐๐ น. ขณะนั้นคุณแม่กำลังเดินทางไปทำธุระที่ จ.บุรีรัมย์ พอคุณแม่ทราบก็พยายามปลอบใจ ให้กระผมค่อยๆตั้งสติ เพราะทราบดีว่ากระผมเสียใจมาก คุณแม่ให้กระผมพยายามทำใจให้สบายและให้สวดมนต์แผ่เมตตาให้คนที่เอาของไปมีแต่ความสุข ความเจริญ

    หลังจากวันนั้นกระผมก็ปฏิบัติตามที่คุณแม่ได้เตือนสติ โดยสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม และแผ่เมตตาให้กับคนที่เอาไปทุกวัน จนกระทั่งเวลาผ่านพ้นไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นระยะเวลาประมาณ ๒ เดือนหลังจากที่โทรศัพท์หายไป โดยวันนั้นเป็นวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันหลังจากวันมาฆบูชา ๑ วัน กระผมได้รับข่าวจากทางโทรศัพท์ โดยมีตำรวจท่านหนึ่งโทร.มา โดยใช้ซิมของกระผมที่หายไปพร้อมโทรศัพท์นั้นโทร.เข้าไปที่เบอร์มือถือของเพื่อนกระผม ซึ่งเพื่อนกระผมเห็นหน้าจอโทรศัพท์ปรากฏเป็นชื่อเล่น และเบอร์ของกระผม ขณะนั้นกระผมก็อยู่ข้างๆกับเพื่อนด้วย กระผมกับเพื่อนต่างก็พากันตกใจ เพื่อนกระผมรีบรับโทรศัพท์ ปรากฏว่าเป็นตำรวจโทร.มาบอกว่า “จับคนร้ายที่ขโมยโทรศัพท์ได้แล้ว ถ้าคุณสงสัยว่าคนร้ายได้ขโมยโทรศัพท์คุณไป ให้ติดต่อที่สถานีตำรวจในท้องที่ของท่าน คือ สภอ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี” กระผมจึงรีบติดต่อสถานีตำรวจ และหลังจากนั้นก็ได้ติดตามเรื่องกับตำรวจจนกระทั่งได้รับโทรศัพท์คืน เพราะทางญาติของผู้ต้องหายินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งหมด โดยกระผมได้รับเงินสดสำหรับซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ และได้รับซิมที่ถูกขโมยไปกลับคืนมา

    คนร้ายที่ขโมยโทรศัพท์ไปนั้น เป็นคนร้ายที่มีสภาวะทางจิตผิดปกติ เป็นคนที่มีฐานะดีมาก การศึกษาก็ดีมาก รูปร่างหน้าตา ชาติตระกูลก็เพียบพร้อมไปทุกอย่าง แต่กลับต้องมาเป็นโจรที่จะใช้คำว่า “โจรโรคจิต” ก็ได้ เพราะต่อมาตำรวจก็จับเขาได้อีก จากการที่เขาเข้าไปขโมยของในลักษณะเดียวกันแต่ไปที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดยย่องเข้าไปในตอนเช้าในช่วงที่นักศึกษากำลังนอนหลับสนิทอยู่ แต่บังเอิญมีนักศึกษาคนหนึ่งรู้สึกตัวเสียก่อน จึงเรียกเพื่อนช่วยกันจับไว้ได้ และพาไปมอบให้กับตำรวจ หลังจากขยายผลการสอบสวน ก็พบเรื่องที่น่าประหลาดใจหลายอย่าง อย่างแรกก็คือเรื่องฐานะ ความรู้และรูปร่างหน้าตาที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเป็นขโมยได้ อย่างที่สองคือแผนการและขั้นตอนในการขโมยของเขา ทุกครั้งมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี เขามีคอมพิวเตอร์แบบโน๊ตบุ๊ก มีแผนที่ทางหลวงทั่วประเทศ ซึ่งในคอมพิวเตอร์ได้เก็บข้อมูลที่สำคัญต่างๆไว้มากมาย เช่น หอพักนักศึกษาของทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ จะมีบันทึกการวางแผนงานของเขาอย่างละเอียดรอบคอบมากกว่าในการขโมยแต่ละครั้งนั้นจะขโมยที่ไหน ลักษณะหอพักเป็นอย่างไร เวลาไหนจึงเหมาะสม และเมื่อลงมือขโมยสำเร็จจะมีการประเมิณผลในการปฏิบัติการในแต่ละครั้งไว้ว่ามีข้อผิดพลาดที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไร และเมื่อนำของที่ขโมยได้ในแต่ละครั้งไปขายได้เงินมาเป็นจำนวนเท่าไหร่จะบันทึกไว้ และจะเก็บซิมของโทรศัพท์ที่ขโมยได้เอาไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งเรื่องนี้ได้เคยเป็นข่าวทางหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และเดลินิวส์ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ ที่ผ่านมา

    คำสอนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญท่านได้สอนกระผมจนกระผมท่องจำไว้อย่างขึ้นใจทุกวันคือ “ใครเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ถ้าขยันหมั่นเพียร และสร้างความดี ก็จะได้เป็นด๊อกเตอร์กันทุกคน” ซึ่งคติเตือนใจนี้ทำให้กระผมมีความมานะพยายาม ตั้งใจเรียนหนังสือ และตั้งใจที่จะสร้างความดีโดยไม่ย่อท้อ

    เพื่อตอบแทนพระคุณของหลวงพ่อ และพระอาจารย์ธีรวัฒน์ ที่สั่งสอนให้กระผมเป็นคนดี กระผมจึงตอบแทนโดยการอาสาเป็นพี่เลี้ยงสามเณรใจเพชรทุกปี และถ้ามีเวลาว่างก็จะไปรับใช้พระครูวินัยธรธีรวัฒน์ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จ.ขอนแก่น และสุดท้ายนี้กระผมขอยืนยันว่าการปฏิบัติธรรม และปฏิบัติตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทำให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างมีความสุข และประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอนครับ

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›