๑๔/๔๐ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมะในรายการโทรทัศน์ “ชีวิตไม่สิ้นหวัง” ในหัวข้อ ทำบุญวันพระ

ออกอากาศ วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๓
พิธีกร
๑. รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์
๒. หนูใบเตย (ด.ญ.สุธาสินี อนรรฆมาศ)
๓. น้องมายด์ (ด.ญ.พีราภรณ์ เทพวิวัฒน์)

 

    ดร.ฉัตรสุมาลย์ : วันนี้เป็นวันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ และตรงกับวันพระของฝรั่งด้วย คือวันอาทิตย์ ของเราขึ้นอยู่กับการโคจรของดวงจันทร์ จะเป็นขึ้น ๘ ค่ำ ขึ้น ๑๕ ค่ำ แรม ๘ ค่ำ แรม ๑๕ ค่ะ แต่วันอาทิตย์นี้ตรงกับขึ้น ๘ ค่ำ เราจะคุยถึงเรื่องการทำบุญในวันพระ

    น้องมายด์ : หลวงปู่ขา วันพระแปลว่าอะไรค่ะ

    หลวงพ่อ : วันพระแปลว่านัดพบพระ ใน ๑ สัปดาห์ ต้องการให้คนเราทำใจให้ประเสริฐสัก ๑ วัน ให้เข้าวัดสดับพระธรรมเทศนา รักษาอุโบสถศีล มีมานานมากแล้ว มีวันพระก็ต้องมีวันโดน ทำไมถึงเรียกวันโกน วันโกนแปลว่า เตรียมการ เตรียมจะไปวัด จะไปหาพระ จะไปรักษาอุโบสถ จะไปสร้างความดี ฟังธรรมเทศนาที่วัดในวันพระ

    น้องมายด์ : แล้ววันพระตรงกับอะไรหรือคะ    

    หลวงพ่อ : วันพระตรงกับวัน ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ หรือ ๑๔ ค่ำ ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม ข้างขึ้นก็มีวันพระ ๒ วัน เดือนหนึ่งมีวันพระ ๔ ครั้ง ๑ สัปดาห์ ก็มีวันพระ ๑ ครั้ง เขาต้องการให้ประชาชนหยุดงานในวันพระสร้างความดี ทบทวนชีวิต ถ้าใครทำได้ทุกวันพระ จะเป็นคนดีได้แน่ สมัยโบราณวันพระเขาจะหยุดงาน ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน วันพระเขาจะไม่ทรมานสัตว์ เขาจะหยุดไถนาหยุดทำงาน ไปเข้าวัด

    น้องมายด์ : วันพระ เด็กๆอย่างหนู ควรจะทำอะไรบ้างคะ

    หลวงพ่อ : วันพระก็ต้องเข้าวัดเมื่อสมัยโบราณโรงเรียนอยู่กับวัด วัดพระเขาจะหยุดโรงเรียน ทำไมเขาจึงหยุดโรงเรียน เพราะว่าโรงเรียนอยู่บนศาลาวัด เขาจะมาทำบุญกัน ตักบาตรฟังเทศน์ฟังธรรมรักษาอุโบสถ โรงเรียนก็ต้องหยุด วันโกนหยุดครึ่งวัน วันพระหยุดเต็มวัน สมัยนี้โรงเรียนเขาหยุดวันอาทิตย์ เพราะโรงเรียนอยู่นอกวัด เลยไม่ได้ไปวัด ก็เลยลืมวันพระไปเลย วันพระเดี๋ยวนี้ลืมกันหมด จำได้แต่เสาร์อาทิตย์ จำได้เฉพาะวันหยุดงาน และจำได้อีกวันหนึ่งคือวันเงินเดือนออก

    หนูใบเตย : การสร้างบุญให้กับตนเอง จำเป็นไหมคะที่เราต้องเข้าวัด อย่างเดียว

    หลวงพ่อ : หนูถามดีมาก การสร้างบุญให้กับตัวเองจำเป็นหรือจะต้องเข้าวัด เป็น ๒ ประเด็น หลวงตาจะกล่าวให้หนูฟัง บุญคือความสุข สร้างที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอให้เรามีความสุขกานสบายใจด้วยการสร้างความดีมีสุข สร้างความชั่วเป็นทุกข์ หาความสนุกในสังคมโดยไร้สาระ ดังนั้น ความสุขนี้จึงต้องแปลกใหม่ แปลว่าความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต สายทางเดินของชีวิต เดินถูกต้องตามควรลองของชีวิต ก็เรียกว่าความดีมีสุข แต่ประเด็นที่สอง คนเรามีความสุขไม่เหมือนกัน บางคนมีความสุขไปทางดื่มสุรา บางคนมีความสุขไปทางร้องเพลง และไปเข้าคลับเข้าบาร์ มีความสุขที่จะต้องไปเที่ยวสรวลเสเฮฮา บ้าบอคอแตก บางคนมีความสุขในการเล่นการพนัน ถ้าไม่ได้ไปเล่นไพ่จะตาย อายุตั้ง ๘๐-๙๐ ข้างปลาไม่กิน ก็อยู่สบายมาก ก็เป็นความสุขของเขา กรรมฐานของคนแก่ที่ชอบเล่นไพ่ เป็นความสุขที่ได้เล่น แต่ความสุขแบบนี้มันวิ่งไปหาความทุกข์ ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง

    พูดอย่างนี้ให้ฟังก่อน ความสุขที่จะต้องไปดื่มสุรา ต้องไปเล่นการพนัน ต้องไปเที่ยวสรวลเสเฮฮา สุรานารี กีฬาบัตร เป็นความสุของบัณฑิต ต้องการมีวิชาความรู้ ต้องการแสวงหาโภคทรัพย์ ต้องการแสวงหาทรัพย์ แสวงหาชื่อเสียง แสวงหาความรัก เป็นความสุขของบัณฑิต เพราะฉะนั้นความสุขอันนี้ก็สร้างได้ทุกคน แต่ความสุขแบบไหนต้องถามเขา ว่าเขามีสุขเขาชอบอะไร บางคนมีความขยันหมั่นเพียร สุขชอบหาวิชาความรู้ สุขทางดนตรี ดีดสีตีเป่า ก็มีมากไม่ใช่น้อย แต่บางคนสุขไปทางอันธพาล บางคนสุขไปทางเป็นบัณฑิต เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเข้าวัด แต่ทำโดยวิธีปฏิบัติ เข้าวัด วัดคืออะไร พระพุทธเจ้าสอนให้คนรู้จักวัด ๓ วัด จำเป็นต้องเป็นวัดที่มีพระสงฆ์เสมอไป วัดที่มีพระสงฆ์นั้น สำหรับบำเพ็ญกุศล ทำบุญตักบาตร หรือเป็นที่ประกาศศาสนา ศึกษาเล่าเรียน เป็นโรงเรียน แต่ว่าวัตรปฏิบัติสำหรับตัวเอง ตัวเรานั้นเราจะเข้าวัดดีไหม หรือทำความสุขสร้างความเจริญให้แก่ชีวิตโดยไม่ต้องเข้าวัดได้ไหม ตอบว่าได้ แต่ต้องมีวัด ๓ วัด
๑. วัดคน
๒. วัดอารมณ์ อย่าให้อารมณ์เสีย ถ้าอารมณ์เสียไม่เป็นวัด
๓. วัดจิตใจ เอาตราชั่งขึ้นมาดู เอาตราชูขึ้นมาชั่ง อย่าให้เสียหาย เข้าได้ ๓ วัดนี่ ถือว่า ไม่ต้องเข้ามาวัดที่มีอาคารสถานที่ ที่มีพระอยู่

    วัตถุธรรม มีธรรมะ ๔ ประการคือ
๑. ธรรมชาติ
๒. เหตุผล อดีตไม่รื้อฟื้น เรื่องคนอื่นไม่คิด กิจที่ชอบทำ
๓. ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คือกฎแห่งกรรม
๔. ทำดีต้องฝืนใจ ถ้าฝืนใจไม่ได้ ดีไม่ได้

    ถ้าคนไหนมีธรรมะ ๔ ประการนี้ วัตถุสะอาด ที่กินสะอาด ที่ถ่ายสะอาด นี่ เข้าวัดนี้ ไม่จำเป็นต้องมาวัดที่มีพระสงฆ์ ที่หนูถาม เข้าใจว่าเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ วัดที่กล่าวนี้เป็นวัตรปฏิบัติ วัตถุธรรม มีธรรมะ ๔ ดังกล่าว วัดที่ ๒ วัดอารมณ์ของหนู อารมณ์อย่าเสีย ในวันหนึ่งๆนั้น อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปตั้งมากมาย เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวโกรธ ต่างๆนานหลายประการ เดี๋ยวรัก เดี่ยวไม่รัก วัดอารมณ์ให้คนที่คงวาคงศอก ๓. วัดที่จิตขอหนู อย่าให้จิตตก อย่าให้ราคาตก อย่าให้จิตไหลไปสู่ที่ต่ำ เท่านี้ก็ถือว่าไม่ต้องมาเข้าวัดที่เป็นอาคารสถานที่ เช่นวัดอัมพวัน เป็นต้น ๓ วัดนี้ก็พอแล้ว เป็นความสุขที่ถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องมาวัดที่เป็นอาคารสถานที่

    ดร.ฉัตรสุมาลย์ : ท่านผู้ชมนึกเหมือนดิฉันไหมค่ะ ว่าทำบุญนั้นต้องซื้อของไปถวายพระ หรือเอาปัจจัยเอาเงินไปถวายพระที่วัด อย่างนั้นจึงเรียกว่าทำบุญ ที่นี้สมมุติว่าเราไม่มีเงินเลย เราะทำอย่างไรจึงจะได้บุญได้ หลวงพ่อค่ะถ้าไม่มีเงิน จะทำบุญได้ไหมค่ะ

    หลวงพ่อ : ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยขอเจริญพร จะแยกแยะให้ท่านฟัง ญาติโยมพุทธศาสนิกทั้งหลายไม่เข้าใจกันมาก คำว่าบุญ การไปทำบุญตักบาตร ทอดกฐินบ้าง ทอดผ้าป่าบ้าง เอาของทั้งหลาย สปริวารัง นำจตุปัจจัยไปถวายพระก็ถือว่าทำบุญ เข้าใจอย่างนั้นก็ถูกต้อง แต่แยกแนะการทำบุญได้ซึ่งมีหลายประการ และมีหลายประเภท มีทั้งบุญนอกและบุญใน ที่อาตมาว่า ไม่มีเงินไปทำบุญได้ไหม ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ บางคนเอาสตางค์ไป เอาปัจจัยไปถวายผ้าป่า ถวายเป็นพัน แต่ได้บุญแค่ ๑๐ บาท แต่คนไม่มีสตางค์ เอากำลังกายเอากำลังใจกำลังจิตเป็นกุศล ไปสร้างบุญเกิดความสุขและก็เข้าไปในหลัก ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนา เอากำลังกายช่วยเขา เอากำลังใจช่วยเขา ยกตัวอย่างสมัยพุทธกาล ตาสีตาสา ไปช่วยงานกฐิน เงินสตางค์เดียวก็ไม่มี เพียงการอนุโมทนาก็ยังไปสวรรค์ได้หรือไปรับพร หรืขอเจริญพร พี่น้องทุกคนโปรดทราบไว้ บางทีพระให้พร ยถา สัพพี อนุโมทนา บางคน ทำบุญรับพร ไม่เป็น แต่คนหนึ่งไม่ได้มาทำบุญ ไม่ได้เอาสตางค์มาแต่ยืนตั้งใจรับพร เป็นคาถาของพระพุทธเจ้า ท่านให้เราอยู่เย็นเป็นสุข และก็ให้เราเป็นสุข จิตใจรับ ตั้งใจรับ ก็เกิดความสุข ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องเอาของมาถวายพระ แต่บ้านเหนือบ้านใต้ญาติพี่น้องที่เรียกว่าญาติธรรม เป็นญาติกันในบ้านใกล้เรือนเคียง เขามีงานก็ไปช่วย ช่วยด้วยจิตเป็นกุศล เขาทำบุญ ทำบุญบ้าน ทำบุญทอดกฐิน ทำบุญในงานศพ งานบวชนาค เราก็ไปช่วยเขา เอากำลังกายไปช่วยเหนือยาก เหนื่อยกายแล้วก็สบายใจ ก็ได้บุญคือความสุขที่ได้ช่วยเขา ก็เป็นบุญอันหนึ่งเป็นบุญอันสำคัญ และบุญอีกอันหนึ่ง สวดมนต์ไหว้พระ ไม่ต้องใช้สตางค์เลย สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน ทั้งกินทั้ง-ทาก็เกิดความสุขความเจริญได้ เกิดทำให้เงินไหลนองทองไหลมา ทำให้ร่ำรวยได้โดยไม่ต้องใช้สตางค์เลย บางคนไม่เข้าใจ เข้าใจว่าต้องมีเงินมากๆ แล้วจึงทำบุญในวัดวาอารามต่างๆ เป็นต้น พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มีศีล สอนให้ปฏิบัติศีล สอนให้ปฏิบัติธรรมะ สอนให้อย่าประมาท อย่างนี้ก็ไม่ต้องใช้สตางค์ ก็ทำให้เกิดความสุขความเจริญได้ บางคนทำบุญเก่ง ทำบุญเอา-หน้า ศรัทธาหัวเต่า ทำบุญเก่ง เงินเป็นหมื่นเป็นแสน ทำไป แต่ประพฤติชั่ว ไม่ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย ปฏิบัติอบายมุขไปบ่อนการพนัน แล้วก็ไปทำบุญแต่ก็ได้บุญตามที่ตั้งใจทำ แต่แล้วไม่ทำตามคำสอน แล้วบุญนั้นจะสิงสถิตอยู่ในจิตใจของคนได้อย่างไรเล่า เพราะบุญจะเกิดจากความสุขที่ไม่เจือด้วยความทุกข์ แต่ที่นี้บุญอันนั้นมันเจือด้วยความทุกข์ ไปทำแล้วเกิดเสียดาย เกินศรัทธา ทำมากไป ปุญญเจตนา อปราปรเจตนา เจตนาเป็นตัวบุญ เราเจตนาทำเท่านี้แต่มันมากเกกินเจตนาก็เลยไม่ได้บุญเลยก็มีนะ แต่คนทำบาทเดียวหรือสิบบาทก็ได้บุญมากมาย ก็สรุปได้ใจความว่า บุญคือความสุขคงวามเจริญแล้วแต่ศรัทธาที่เราทำ แต่แล้วสู้บุญที่ปฏิบัติธรรมไม่ได้ ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ต้องเสียเงินเสียทองเลย แล้วก็ดำเนินวิถีชีวิตด้วยความถูกต้อง อย่างนั้นมันจะมั่นคงกว่า นั่งคือศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติตรงนั้น นั่นแหละเป็นบุญมหาศาล คือศีล สมาธิ ปัญญา มีสติสัมปชัญญะควบคุมจิตได้ หนักเข้าก็เกิดเมตตา เฉลี่ยความสุขไป ใครมีงานก็ไปช่วย เลยเรียกสรุปเป็นยุคใหม่ว่า รำวงมีกองเชียร์ มีกระบอกเสียง มีมนุษยสัมพันธ์ เขาก็มาช่วยเรา เราไปช่วยเขา เขามาช่วยเรา ไม่ต้องใช้เงินดังที่กล่าวมาแล้ว ขอเจริญพร

    ดร.ฉัตรสุมาลย์ : ปัญหาต่อมา สมมุติว่าเรามีเงินบาทเดียว แต่เราตั้งใจทำจริงๆ แต่เงินบาทเดียวก็สร้างศาลาไม่ได้แต่เศรษฐีอีกคนหนึ่งเขาไม่ได้ตั้งใจทำแต่เขาให้เงินเป็นแสน และสร้างศาลาสำเร็จ อย่างนี้จะต่างกันอย่างไร

    หลวงพ่อ : ต่างกัน ขอเจริญพร บางคนเขาบอกว่าอานิสงส์ของการสร้างศาลา ตายไปเป็นพระอินทร์ พวก-มฆมานพ ถ้าสืบเสาะเจาะลึก เป็นพระอินทร์ทุกคนไมได้ ไม่ใช่มีสตางค์แล้วสร้างศาลาแล้วเป็นพระอิทร์ พระอิทร์ต้องโดนสอบ เดี๋ยวนี้พระอินทร์ต้องโดนสอบนะ สอบคัดเลือก สอบสัมภาษณ์ก่อน ต้องมีคุณสมบัติของพระอินทร์ ถ้าคุณสมบัติของพระอินทร์ไม่มีแล้ว จะเป็นพระอินทร์ได้อย่างไร นี่ตรงนี้สำคัญมาก แต่ไม่มีใครรู้เลยนะ สมบัติของพระอินทร์มีไหม เคารพผู้ใหญ่ในตระกูลของตัวเองไหม เมตตาไหม มีกตัญญูไหม

    ดร.ฉัตรสุมาลย์ : คือไม่ใช่มีเงินจำนวนมากทำบุญ แล้วจะได้เป็นพระอินทร์ได้

    หลวงพ่อ : ไม่ได้ ถึงหากว่ามีเงินเป็นร้อยๆล้าน สร้างศาลาเป็นสิบหลัง แต่ไม่ปฏิบัติธรรมเลย แล้วคุณสมบัติไม่มีเลย ไม่เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล ไม่มีกตัญญูกตเวทิตาต่อท่านผู้มีบุญคุณ และยับยั้งความโกรธไม่ได้ ไม่มีเมตตากับใครเลย แล้วก็ดูถูกคน เหยียดหยามคนตลอดรายการ คุณสมบัติพระอินทร์ไม่มีเลย จะเป็นพระอินทร์ได้หรือ เพราะฉะนั้น ขอสรุปใจความว่า ในอานิสงส์สร้างศาลา นายมฆมานพน้อย เป็นพระอินทร์ เมียพระอินทร์เยอะ แต่หากว่าสร้างศาลากันทุกคนและวัดมีตั้ง ๔ ถึง ๕ หมื่นวัด เป็นพระอินทร์ทั้ง ๕ หมื่นวัดได้หรือ ต้องสอบ เพราะฉะนั้นบาทเดียว ถ้ามีคุณสมบัติครบก็สามารถเป็นพระอินทร์ได้นะ ไม่จำเป็นต้องมีเงินมาก ถ้ามีคุฯสมบัติครบ การสอบไล่สมัยนี้ก็ยากมาก ทำไมสอบยาก พวกใครพวกมัน ไม่มีคุณสมบัติก้ได้เหมือนทิ้งบัตรลงคะแนนเลือกตั้งทั่วๆไป พูดไปก็เป็นการว่าเขาเปล่าๆ ก็ขอเจริญพรอย่างนี้

    ดร.ฉัตรสุมาลย์ : ท่านผู้ชมค่ะ ถึงมีเงินอย่างเดียวนะคะ สมัคร สว. ก็ไม่ได้ เพราะคุณสมบัติไม่ครบ การทำบุญวันพระบางครั้งก็ไม่ได้ตรงกับวันเสาร์อาทิตย์เสมอไป พวกเราที่ทำงานเป็นข้าราชการก็ดีหรือรัฐวิสาหกิจก็ดี เราก็สามารถที่จะทำบุญได้ โดยขอให้รักษาศีลในวันพระ ก็จะเป็นบุญที่ทำให้เรามีความสุข ทำให้เราตั้งมั่นอยู่ในความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีไม่เป็นจำเป็นต้องมีเงินในการทำบุญเสมอไป การทำบุญโดยการให้ธรรมะก็เป็นการทำบุญในลักษณะหนึ่ง และเลือกเอาว่าในการทำบุญ กิริยาของเราจะเป็นอย่างไร บางทีใครเขาทำบุญมาแล้วเขาก็บอกว่า นี่นะว่าวันนี้ไปทำบุญที่นั่นที่นี่ เราก็อนุโมทนาบุญกับเขา เราก็ได้บุญด้วย เพราะอะไร เพราะว่าจิตใจเราก็เป็นสุขไปตามความดีที่คนอื่นทำ นะคะ สวัสดีคะ

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›