๒๐/๓๖ ปฏิบัติธรรม สู้ชีวิต

ขันทอง นิลปัทย์

 

    ก่อนอื่นลูกขอกราบนมัสการหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม ผู้มีแต่ความเมตตาเปี่ยมล้นและเป็นผู้ให้โดยตลอด ถ้าไม่ได้หลวงพ่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ ดิฉันคงไม่มีกำลังใจจะสู้ชีวิตต่อไปได้

    ดิฉันชื่อขันทอง นิลปัทย์ สามีชื่อนายสุทิวา (ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน) มีบุตรด้วยกัน ๒ คน ชีวิตก็มีความสุขดี แต่สามีค่อนข้างจะเป็นคนเจ้าชู้ เขามีภรรยามาแล้ว ๒ คน ดิฉันเป็นคนที่ ๓ ภรรยา ๓ คนรวมกันมีบุตรทั้งหมด ๗ คน โดยทั่วไปคนที่เป็นเมียน้อยมักจะไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่ ใจของดิฉันเองไม่ได้อยากที่จะมีคู่ครองในสภาพนี้ แต่ดิฉันก็ต้องทนเพื่อลูกทั้ง ๒ คน และความผูกพันในครอบครัว

    พักหลังๆ สามีก็เริ่มเข้ามาปฏิบัติธรรม ครั้งแรกก็คือวัดอัมพวันแห่งนี้ แต่ดิฉันไม่รู้ว่าใครเป็นคนแนะนำเขา สามีดิฉันเริ่มปฏิบัติธรรมเมื่อประมาณปี ๒๕๓๐ จากนั้นก็ไปปฏิบัติอยู่เรื่อยๆ จนกระทั้งเมื่อปี ๒๕๓๗ สามีของดิฉันก็เริ่มไม่สบาย มีอาการแน่นที่หน้าอก ได้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลศิริราช หมอบอกว่าเป็นอาการของโรคหัวใจ หลังจากนั้นสามีของดิฉันก็เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลมาโดยตลอด แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น หมอได้แนะนำให้ผ่าตัดแต่สามีของดิฉันไม่ยอมผ่า เขาบอกว่าผ่าก็ตาย ไม่ผ่าก็ตาย เรามาปฏิบัติธรรมแล้วไม่ต้องกลัวตาย แล้วสามีดิฉันก็เริ่มชวนให้ดิฉันไปปฏิบัติธรรมกับเขาที่วัดอัมพวัน

    ครั้งแรกที่ดิฉันได้ไปปฏิบัติธรรมเมื่อปี ๒๕๓๘ ดิฉันมาอยู่ได้ ๗ วัน และได้รับศีลจากหลวงพ่อ และเป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้เห็นหลวงพ่อ ดิฉันมีความสุขและรู้สึกตื้นตันใจเป็นที่สุด “น้ำตาแห่งความดีใจมันไหลออกมา” พอดิฉันเริ่มมาปฏิบัติธรรม สามีของดิฉันก็ไม่ค่อยมาปฏิบัติ แต่จะเป็นฝ่ายไปรับไปส่งเสียมากกว่า เหตุเพราะว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ต่อมาเมื่อประมาณปี ๒๕๓๙ ดิฉันก็ไปปฏิบัติธรรมอีกเป็นเวลา ๗ วัน และเช่นเคยสามีและลูกก็มารับมาส่งดิฉันอีก แต่คราวนี้มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นกับตัวดิฉัน

    ในวันที่ ๓ ของการปฏิบัติธรรมช่วงเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม หลังจากดิฉันได้เดินจงกรมเสร็จแล้ว ทุกคนก็จะนั่งทำสมาธิ ระหว่างที่ดิฉันนั่งจิตนิ่งเป็นสมาธิ ดิฉันได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งมายืนตรงหน้าประตูทางเข้าห้องปฏิบัติ ดิฉันเห็นในท่าสมาธิ ผู้ชายคนนี้ดูท่าทางซูบผอมและอิดโรยมาก เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็ดูเก่าเสียจนเกือบจะขาด ดิฉันก็กำหนด เห็นหนอ เห็นหนอ อยู่หลายครั้ง ผู้ชายคนนั้นก็ยังไม่หายไปไหน แล้วดิฉันก็เห็นเขายกมือไหว้มาทางดิฉันเหมือนจะอนุโมทนาบุญกับดิฉัน แล้วร่างนั้นก็จางหายไปเหลือแต่ความว่างเปล่า แต่ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไร

    ในวันที่ ๕ ของการปฏิบัติ เวลา ๒ ทุ่มเช่นเดิม พอเดินจงกรมเสร็จแล้ว ดิฉันก็นั่งสมาธิ ๓๐ นาที ดิฉันก็เห็นผู้ชายคนเดิมอีกครั้ง ยืนอยู่ที่เดิมหน้าตาสดใส จากสภาพที่ใส่เสื้อผ้าเก่าๆ จนเกือบจะขาดมาให้เห็น แต่ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นคนละคน มายืนอยู่ที่หน้าประตู แล้วดิฉันก็กำหนด เห็นหนอ เห็นหนอ ร่างของชายคนนั้นก็ไม่หายไป ยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่มันแปลกตรงที่ว่า ร่างของชายคนนั้นที่ยืนอยู่ทำไมจึงมีสุนัขสีดำยืนซ้อนกันอยู่ สุนัขตัวนั้นดิฉันสังเกตว่าตรงคอมันจะมีขนสีขาวอยู่ และขาข้างหน้าก็มีขนสีขาวอยู่เช่นกัน ดิฉันเพ่งดูด้วยจิตและจำได้อย่างแม่นยำ ดิฉันกลับมากำหนดเห็นหนอ เห็นหนอต่อ แล้วร่างนั้นที่ซ้อนกันอยู่ก็หายไป ดิฉันนั่งต่อจนได้เวลาแผ่เมตตาตอน ๓ ทุ่มพอดี ดิฉันครุ่นคิดในใจว่าสิ่งที่ดิฉันได้เห็นนั้น มันเป็นอะไรกันแน่ พอครบกำหนดเวลา ๗ วัน สามีและลูกๆ ก็มารับเช่นเคย ดิฉันได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้สามีฟัง สามีของดิฉันก็เชื่อ

    หลังจากกลับถึงกรุงเทพฯ ได้เดือนเศษ ดิฉันก็กลับไปปฏิบัติธรรมอีกในปีเดียวกัน และเช่นเคยสามีของดิฉันกับลูกๆ ก็ได้ไปส่งที่วัด ดิฉันอยู่จนครบ ๗ วัน สามีของดิฉันก็มารับกลับ ลูกๆ ก็มาด้วย แต่มันแปลกตรงที่ว่าลูกสาวของดิฉันได้อุ้มลูกสุนัขสีดำเพศผู้อยู่ด้วย พอดิฉันเห็นก็จำได้ทันที ดิฉันได้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่แล้ว ตอนที่ดิฉันมาปฏิบัติธรรม สามีดิฉันถามว่า “ใช่สุนัขตัวนี้ไหม” ดิฉันบอกว่า “ใช่” ดิฉันถามเขาว่าไปได้ลูกสุนัขตัวนี้มาจากที่ไหน สามีดิฉันบอกว่ามันอยู่ในวัดนี้ เราก็เลยตกลงกันว่าจะนำลูกสุนัขตัวนี้กลับไปเลี้ยงที่กรุงเทพฯ พวกเราตั้งชื่อให้สุนัขตัวนี้ว่า “เจ้านิล” พวกเรารักมันมากจนกระทั้งกลางปี ๒๕๔๑ ก็กลับมาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้อีกครั้ง ดิฉันอยู่ปฏิบัติ ๗ วัน

    ครั้งนี้มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นกับดิฉันอีก ในวันที่ ๕ ของการปฏิบัติธรรม เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ดิฉันกำลังนั่งสมาธิอยู่ จิตสงบนิ่ง ดิฉันเห็นสามีเดินไม่มีหัว (ซึ่งตอนนั้นสามีของดิฉันได้อยู่ที่กรุงเทพฯ) ดิฉันกำหนดเห็นหนอ เห็นหนอ ก็ไม่หาย แต่ดิฉันรู้สึกว่ามันเหมือนมีลูกไฟกลมๆ พุ่งออกมาจากหน้าผากของดิฉัน ลูกไฟนั้นพุ่งตรงไปที่ร่างของสามีประมาณ ๓-๔ ลูก แล้วก็แตกกระจายที่ร่างของสามีดิฉัน จากนั้นภาพนั้นก็จางหายไป ดิฉันกำหนดเห็นหนอ เห็นหนอ เวลาผ่านไปจนครบกำหนดแผ่เมตตาตอน ๓ ทุ่ม ดิฉันยอมรับว่ารู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็คิดว่าภาพที่เห็นนั้นมันเป็นภาพลวงตา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ดิฉันไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังแม้แต่สามีของดิฉันเอง

    จนกระทั้งปี ๒๕๔๒ เดือนสิงหาคม ดิฉันได้ไปปฏิบัติธรรมอีกครั้งหนึ่ง ดิฉันไปปฏิบัติธรรมวันที่ ๙ สิงหาคม แล้วกลับวันที่ ๑๖ สิงหาคม เพราะในวันที่ ๑๕ สิงหาคม เป็นวันเกิดของหลวงพ่อซึ่งตรงกับวันพระพอดี ดิฉันเอนตัวลงนอนแต่ยังไม่ทันได้หลับตาดี ก็ได้ยินเสียงคนหลายๆ คน หัวเราะกันดังมาก แต่ในความรู้สึกของดิฉันตอนนั้นมันหนาวเย็นไปจับขั้วหัวใจ เสียงนั้นมันก้องกังวานมีอำนาจลึกลับบอกไม่ถูก มีทั้งเสียงเด็กและผู้ใหญ่มากมายรวมกันอยู่ ดิฉันหนาวสั่นไปหมดทั้งตัว ดิฉันกำหนดเสียงหนอ เสียงหนอ แล้วก็แผ่เมตตาให้พวกเขาเหล่านั้น แล้วเสียงนั้นก็หายไปในที่สุด ดิฉันรู้สึกเพลียและอ่อนแรงเป็นอย่างมาก บวกกับอาการที่หนาวสั่น ดิฉันตั้งสมาธิแล้วลุกขึ้นนั่ง พอดีได้เวลาเข้าทำวัตรเย็น ทุกคนไปรวมกันที่อาคารภาวนา ๑ ดิฉันเข้าปฏิบัติธรรมจนถึง ๓ ทุ่ม วันรุ่งขึ้นคือเข้าวันที่ ๑๖ สิงหาคม ปกติสามีดิฉันจะมารับกลับพร้อมลูกๆ แต่วันนี้ดิฉันกลับกรุงเทพฯเอง เพราะดิฉันมากับเพื่อน พอถึงกรุงเทพฯ ดิฉันเห็นสามีและลูกๆ นั่งอยู่ในบ้าน แต่ดิฉันสังเกตเห็นสีหน้าของสามีดูหมองคล้ำ แต่ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไร

    วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๒ ตอน ๘ โมงเช้า ดิฉันเห็นสามีให้อาหารปลาที่อยู่ในตู้ปลา พอสามีนั่งลงบอกว่าแน่นหน้าอก แต่คราวนี้เป็นหนัก เขาลงนอนกับพื้น อาการของคนหายใจไม่ออก ดิ้นทุรนทุราย ดิฉันตกใจมาก นึกขึ้นได้ว่าต้องปั๊มหัวใจให้เขา ดิฉันต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ดิฉันปั๊มหัวใจอยู่ครู่หนึ่ง สามีดิฉันก็เกิดอาการปัสสาวะไหลออกมาเต็มไปหมด ดิฉันตกใจเป็นที่สุด รีบวิ่งออกไปเรียกให้คนช่วย พอดิฉันเข้าไปในบ้านก็เห็นสามีอ้าปากพะงาบพะงาบอยู่ แต่มีสุนัขคือเจ้านิลที่พามาจากวัดอัมพวันอยู่ตรงขาของสามีดิฉัน มันแปลกตรงที่เจ้านิลมันร้องครวญครางแล้วมันก็เอาขามาเกยตรงร่างของสามีดิฉันและกอดทับไว้เหมือนมันรู้ว่ากำลังจะเสียของรักไป ดิฉันปล่อยให้มันอยู่อย่างนั้น แล้วเพื่อนบ้านก็ช่วยกันหามสามีดิฉันไปส่งโรงพยาบาลศิริราช พอถึงโรงพยาบาลคุณหมอและพยาบาลก็ช่วยกันปั๊มหัวใจ ในที่สุดก็ไม่สามารถช่วยชีวิตสามีของดิฉันไว้ได้ ดิฉันได้นึกย้อนถึงตอนที่ดิฉันเห็นภาพเมื่อ ๓ เดือนก่อน ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะเป็นความจริง ดิฉันไม่ได้แก้ไขอะไรเลย แต่พอมานึกถึงตอนนี้มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

    ดิฉันได้จัดการสวดศพ ๗ คืน ช่วงคืนวันที่๔ ดิฉันได้ฝันไปว่าสามีมาหาดิฉันแล้วบอกว่าอีก ๒ ปี เธอแต่งงานใหม่นะ ตอนนั้นดิฉันได้แต่เสียใจ แต่ไม่ได้คิดเรื่องฝัน แต่ดิฉันก็จดบันทึกไว้ ตลอดระยะเวลา ๗ คืน

    ส่วนเจ้านิลสุนัขตัวนั้นมันอาละวาด มันเที่ยวกัดคนแถวนั้น มันไปกัดลูกเขาดิฉันต้องเสียเงินค่ารักษาให้เขา เจ้านิลเหมือนสุนัขบ้า หลังจากงานศพแล้ว ๓ เดือนเศษ เจ้านิลก้อตรอมใจตายไป หลังจาก ๔ เดือนผ่านไปดิฉันก็ไปปฏิบัติธรรมอีก ๗ วัน แล้วดิฉันได้สอบถามเรื่องราวที่ดิฉันได้เห็น เมื่อตอนที่สามีดิฉันเดินไม่มีหัวกับแม่ครูพรรณทิพย์ ท่านบอกว่าเป็นเรื่องจริง สิ่งที่ดิฉันเห็นมันไม่ใช่ภาพลวงตา

    แล้วที่เหมือนกับลูกไฟกลมๆ พุ่งตรงไปยังร่างของสามีดิฉันนั้น เป็นแสงแห่งบุญกุศลที่ดิฉันได้ปฏิบัติธรรม แม่ครูบอกว่าสามีดิฉันจะต้องเสียชีวิตภายใน ๗ วัน นับจากที่ดิฉันได้เห็น แต่แสงแห่งบุญกุศลได้ช่วยต่ออายุของสามีดิฉันให้อยู่มาได้ถึง ๓ เดือน เพราะสามีของดิฉันเขาได้หมดอายุขัยตั้งแต่ดิฉันเห็นเขาไม่มีหัวแล้ว ดิฉันได้แต่อุทิศส่วนบุญกุศลไปให้เขาเท่านั้น

    หลังจากที่สามีดิฉันได้เสียชีวิตไปประมาณ ๑ ปี ภรรยาทั้ง ๒ คนของเขารวมตัวกันที่จะขายบ้านหลังที่ดิฉันอยู่กับลูก ซึ่งมันเป็นบ้านและที่ดินของสามี ดิฉันเริ่มเครียดอีกครั้ง กลัวไม่มีบ้านให้ลูกๆ อยู่ ภรรยาทั้ง ๒ คนมาหาดิฉันแล้วปรึกษากันว่า ถ้าขายก็ต้องแบ่งเงินให้เท่าๆ กัน โดยผู้รับมรดกจะต้องเป็นลูกทั้ง ๗ คนเท่านั้น แล้วดิฉันก็ได้ดำเนินเรื่องขึ้นศาล เพื่อร้องขายที่ดินแทนลูกๆ เพราะลูกๆ อายุยังไม่ถึง ๒๐ ปี ศาลก็อนุญาตให้ขายได้ แต่มีกำหนดระยะเวลา ๑ ปี ก็มีคนมาติดต่อซื้ออยู่บ้างแต่ก็หายไป ไม่ติดต่อมาอีก จนเวลาจะครบกำหนด ๑ ปี ดิฉันเริ่มเครียดอีกครั้งหนึ่ง เพราะดิฉันต้องเสียเงินค่าทนาย แต่ที่ดินยังขายไม่ได้

    ดิฉันก็ได้ไปปฏิบัติธรรมอีกเป็นเวลา ๗วัน เพื่อให้ได้ผลสำเร็จ ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติธรรมอยู่นั้น ดิฉันได้อธิษฐานจิตทุกวันเพื่อให้ขายที่ได้ พอครบกำหนด ๗ วัน ดิฉันก็กลับกรุงเทพฯ ดิฉันอยู่ที่บ้านก็ปฏิบัติธรรมทุกวันและอธิษฐานจิตทุกวัน นึกถึงหลวงพ่อท่านด้วย พอเข้าเดือนที่ ๓ ดิฉันก็ได้รับข่าวดี เมื่อมีคนมาติดต่อซื้อในราคา ๒๙ ล้านบาท และได้แบ่งเงินให้ลูกๆ ทั้ง ๗ คนเท่าๆ กัน เพื่อความยุติธรรม ดิฉันไปซื้อบ้านให้ลูกอยู่ที่บางแค ดิฉันดีใจมากที่ผลการปฏิบัติธรรมของดิฉันเป็นผลสำเร็จด้วยการอธิษฐานทุกวัน แต่ชีวิตดิฉันก็ไม่ดีขึ้นเลย เพราะกฎหมายคุ้มครองเด็กเขาเก็บเงินลูกดิฉันไว้ทั้งหมด

    ดิฉันต้องจ้างทนายขึ้นศาล เพื่อนำเงินออกมาใช้จ่ายรายเดือน แต่ก็ไม่พอใช้ ดิฉันต้องออกทำงานเพื่อหารายได้มาช่วยจุนเจือครอบครัวเพื่อความอยู่รอด ทุกวันนี้ดิฉันยังติดค่าทนายบางส่วน ดิฉันยอมรับว่าไม่สบายใจแต่ก็ไม่เคยท้อแท้ เพื่อลูก หลังจากนั้นชีวิตฉันได้แปรผันอีกครั้งเมื่อพบผู้ชายคนหนึ่งเป็นหนุ่มโคราช เขาไม่รังเกียจอดีตที่ผ่านมาของดิฉัน เราได้แต่งงานกัน ทั้งพ่อแม่พี่น้อง และลูกๆ ของดิฉันก็ยินดีด้วย เราเข้ากันได้ดี แต่เราต้องแยกกันอยู่เพราะว่าเราต่างมีความจำเป็นเหมือนกันทั้งสองฝ่าย แต่เราจะไปมาหาสู่กันตลอด ถึงตอนนี้ดิฉันได้นึกย้อนไปเมื่อประมาณ ๓ ปีก่อน ที่ดิฉันฝันว่าสามีมาบอกไว้ตอนเขาตายว่า อีก ๒ ปี ให้แต่งงานใหม่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าฝันนั้นจะเป็นเรื่องจริง

    ต่อมาย่างปีที่ ๔ ชีวิตรักของเราก็มีปัญหา เมื่อดิฉันรู้ว่าเขามีผู้หญิงคนใหม่ หรืออาจเป็นกรรมของดิฉัน เมื่อคืนวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๘ ก่อนจะไปโคราช ดิฉันนิมิตฝันเห็นหลวงพ่อว่า หลวงพ่อท่านมาหาดิฉันท่านยืนมองมาที่ดิฉัน แววตาของท่านบ่งบอกว่าเป็นห่วงดิฉัน เหมือนท่านมาให้รู้ว่าเราจะมีปัญหา ให้มีความอดทน ให้มีสติแก้ไขปัญหา แต่ตอนนั้นดิฉันไม่ได้คิดอะไรมาก

    ดิฉันไปโคราชเช้าวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๘ ดิฉันไปโดยไม่ได้บอกให้เขารู้ แล้วมรสุมชีวิตก็เกิดขึ้นกับดิฉัน พอไปถึงแทบช็อก เขามีผู้หญิงอยู่ในบ้าน เรามีปากเสียงกัน แล้วชีวิตรักของดิฉันก็พังทลายอีกครั้ง เมื่อเขาบอกว่าเขาเลือกผู้หญิงคนนั้น เขาออกไปพร้อมกับผู้หญิงคนนั้นโดยที่ไม่เหลียวหันกลับมาดูดิฉัน แม่ของเขาเห็นดิฉันก็ได้แต่ปลอบใจ ดิฉันกลับกรุงเทพฯ ด้วยความเจ็บปวด พอดีเป็นช่วงใกล้ปีใหม่ ดิฉันก็เลยไปปฏิบัติธรรมอีกเช่นเคย ดิฉันอยู่ปฏิบัติธรรม ๗ วัน ช่วงส่งท้ายปีเก่า ๒๕๔๘-๒๕๔๙ ดิฉันได้ฟังโอวาทของหลวงพ่อ ดิฉันสบายใจขึ้นมาก ไม่โกรธเขาและผู้หญิงคนนั้น ดิฉันให้อภัยและอโหสิกรรมให้เขาทั้งสองคน และให้เขาทั้งสองคนมีความสุข พอครบกำหนด ๗ วัน ดิฉันก็กลับกรุงเทพฯ และอยู่กับลูกๆ ดิฉันยังคงทำงานและมีชีวิตตามวิถีทางของดิฉันเช่นเดิม

    ทุกวันนี้ดิฉันปฏิบัติธรรมสวดมนต์ทุกเช้า-เย็น ดิฉันมีลูกเป็นที่รัก ยามใดที่ดิฉันรู้สึกท้อแท้ ดิฉันจะนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อท่าน ก็จะมีกำลังใจขึ้นมาทุกครั้ง ดิฉันจะสู้ชีวิตต่อไปเพื่อลูกๆ ของดิฉัน แม้เรื่องคู่ครองชีวิตรักของดิฉันจะพังทลาย แต่ดิฉันก็มีลูกๆ เป็นที่รัก และเป็นกำลังใจ

    ดิฉันจะยึดคำสอนของหลวงพ่อ และการปฏิบัติกรรมฐาน เพื่อชีวิตที่สดใสของดิฉัน สุดท้ายนี้ดิฉันขอกราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเลื่อมใส และศรัทธาที่หลวงพ่อได้ให้ชีวิตใหม่และความเมตตาเป็นที่สุดในวาระครบรอบ ๗๘ ปี ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อมีอายุยืนนานด้วยอานุภาพของคุณพระศรีรัตนตรัยเทอญ

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›