๒๓/๒๒ สวดมนต์เป็นนิจชีวิตก็ดีขึ้น

สุปราณี สุขสายญาติ

 

    ดิฉันชอบอ่านหนังสือแทบทุกชนิดโดยเฉพาะหนังสืออ่านเล่น ที่ชอบมากคือกุลสตรี อ่านสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมแล้วดิฉันมั่นใจว่าเป็นจริง จึงพยายามหาข้อมูล วันหนึ่งซื้อกล้วยแขกมารับประทานและฉีกอ่านถุง ดิฉันดีใจสุดขีดเพราะพบข้อความ “สารจาก บก.” ตอบที่ผู้อ่านถามถึงกันมากว่าเรื่องสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมมีจริงไหม วัดป่ามะม่วงอยู่ที่ไหน หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ฯลฯ

    ดิฉันได้ชวนเพื่อนรุ่นพี่ช่วยขับรถพาไปวัด เขาถามรายละเอียด ดิฉันก็บอกว่าไม่รู้ แต่ไปเถอะ เขาว่าขับรถไปสายเอเซีย ๑๓๐ กม. พี่เขาก็ใจดีมาก ขับรถไปเรื่อยๆจากกรุงเทพฯ พอครบ ๑๓๐ กม. พี่ก็จอดข้างทางซึ่งตลอดแนวทางมีแต่ทุ่งนา ฉันก็ใจไม่สู้ดี นึกถึงหลวงพ่อว่าหนูอยากจะมากราบหลวงพ่อ ขอให้หนูได้พบด้วยเถอะ พี่เขาจอดรถเสียชิดข้างป่าหญ้าคาเลย ตอนเปิดประตูรถออกไปจึงต้องแหวกหญ้าออกเป็นทางเพื่อเดิน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นป้าย “วัดอัมพวัน จ.สิงหบุรี” กองอยู่ในดงหญ้า ดิฉันร้องกรี๊ดด้วยความดีใจว่าเจอวัดแล้ว จึงขับรถเข้าไปตามทางเข้าวัดซึ่งเป็นถนนลูกรัง

    กุฏิหลวงพ่อยังเป็นไม้ ๒ ชั้น มีพี่ผู้หญิงบอกว่าหลวงพ่อขึ้นไปบนหอฉัน ให้ตามไปได้ ดิฉันก็รีบตามไปด้วยความดีใจ พอไปถึงก็นั่งต่อท้ายสุด มีคนประมาณ ๘-๑๐ คน มองไปที่แถวพระนั่ง มั่นใจว่าองค์แรกต้องเป็นหลวงพ่อแน่ ดิฉันนั่งมองท่านตลอด ท่านไม่ฉันอาหาร ดิฉันนึกในใจว่า หลวงพ่อผอมมาก รูปร่งบอบบาง แล้วไม่ฉันอะไรเลย ถ้ารู้ว่าท่านชอบฉันอะไรเราก็จะทำมาถวาย

    พระท่านฉันเสร็จก็ลงจากหอฉัน เจ้าหน้าที่บอกว่าใครยังไม่กลับก็ตามไปกราบหลวงพ่อที่กุฏิได้ เราก็ตามลงไป ที่กุฏิหลวงพ่อมีคนนั่งรอกราบหลวงพ่อไม่มากนัก ฉันก็เข้าไปนั่งหน้าเก้าอี้ไม้ยาว เรียงอยู่ขนานกับผนัง สักครู่หลวงพ่อมานั่งเก้าอี้ไม้

    ตรงหน้าดิฉัน และก้มลงบอกดิฉันว่า “คนแก่ชอบต้มๆ เลียงๆ ขมๆ ฉันอาหย่อย” (ทำเสียงยาน) ท่านชี้มาที่ดิฉันกับคนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว และพูดว่า พวกข้าราชการ ข้าราชการ ข้าราชการ (๓ครั้ง) รู้ไหมแปลว่าอะไร ฉันก็นึก “รู้” ท่านพูดเสียงดังว่า “รู้นะ รู้อะไร” แล้วท่านก็บอกว่า ข้า- รับใช้ประชาชน เราสามคนก็หันมาซุบซิบถามกันว่าใครทำงานอะไร ก็ได้รูว่าทำงานราชการกันจริงๆ หลวงพ่อก็พูดกับญาติโยมอื่นๆต่อ แต่ดิฉันก็ไม่ได้ฟัง เพราะมัวแต่คิดว่าท่านรู้ได้อย่างไร เมื่อกราบหลวงพ่อเรียบร้อยแล้วก็เดินทางกลับ ตอนนั้นดิฉันไม่เห็นศาลาลงทะเบียนซึ่งอยู่ด้านข้างเข้ากุฏิหลวงพ่อ

หมอดูให้สะเดาะเคราะห์ ๒๐๐,๐๐๐ บาท
    พ่อของน้องในที่ทำงานซึ่งอายุยังไม่มากนักเสียชีวิตกะทันหัน ไม่กี่วันต่อมาน้องชายก็เสียชีวิตอีก และในช่วงเวลานั้นมีหนูตกลงไปตายในบ่อน้ำในบ้าน ๕ ตัว ซึ่งเท่ากับจำนวนสมาชิกที่เหลืออยู่ในบ้าน น้องเขาก็วิตกกังวลมากเพราะมีหมอดูหรือร่างทรงได้ทักว่า จะตายกันทั้งบ้านเหมือนหนูที่ตายในบ่อน้ำ ต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์และมีค่าใช้จ่าย ๒๐๐,๐๐๐ บาท น้องก็เตรียมที่จะทำพิธี ดิฉันรับทราบเรื่องราวจึงแนะนำน้องว่าให้ไปปฏิบัติวิปัสสนาที่วัดอัมพวัน และให้แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรจะดีกว่านะ ถ้าไม่มีเงินก็ต้องตายหมดหรือ น้องก็ไม่แน่ใจ ดิฉันได้พาน้องเดินทางไปวัดอัมพวัน พยายามปลอบและชักชวนให้ปฏิบัติธรรม พอมาถึงวัดมีเจ้าหน้าที่แนะนำให้เข้ากรรมฐาน ดิฉันจึงเห็นว่ามีที่ลงทะเบียนด้วย ซึ่งนั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นให้ดิฉันได้เข้าสู่รั้วของการปฏิบัติธรรม

เข้ากรรมฐานครั้งแรก- ขาหัก
    หลังจากที่ดิฉันส่งน้องไปเข้ากรรมฐาน ดิฉันก็มีโอกาสได้ไปปฏิบัติบ้าง ในตอนนั้นมีคุณตาบุญ(เสียชีวิตแล้ว) และแม่ชีสมคิด มาลีหอม รับลงทะเบียน ดิฉันอ่านระเบียบการอย่างละเอียด เพราะคิดว่าตัวเองไม่เคยมาและมารู้จักวัด สวดมนต์ก็ไม่เป็น(ตอนเด็กๆดิฉันเรียนโรงเรียนคริสต์) เมื่อเข้าปฏิบัติธรรมดิฉันตั้งใจทำและฟังทุกอย่างที่พระท่านสอน (พระอาจารย์ทองสุข ปัจจุบันท่านไปอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติวิปัสสนาถ้ำพระผางาม จ.เชียงราย) มีแม่ครูพันธ์ทิพย์ (ปัจจุบันบวชเป็นแม่ชีแล้ว) ควบคุมดูแลการปฏิบัติ ตอนนั้นดิฉันลงทะเบียนไว้ ๗ วัน แต่จำวันที่เกิดเหตุการณ์ไม่ได้ รู้แต่ว่าแม่ครูบอกให้เดินจงกรม ดิฉันก็เดิน ก่อนเดินต้องกำหนดยืนหนอ ๕ ครั้งก่อน ดิฉันก็ปฏิบัติตาม กำหนดยืนจากกระหม่อมถึงสะดือ แล้วกำหนดหนอจากสะดือลากยาวจนถึงปลายเท้า (แต่ไม่ต้องละเอียดยิบ) ให้แค่รู้ตัวว่าเรายืนเท่านั้น ในตอนนั้นพอดิฉัน ‘หนอ’ ลงไป กำหนดเห็นแต่ขาซ้ายไม่เห็นขาขวา (กำหนดดู ไม่ได้ลืมตาดู) ทุกรอบที่กำหนดยืนดิฉันก็ยังไม่เห็นขาขวา ก็นึกว่าตัวเองปฏิบัติไม่ถูกต้อง

    พอปฏิบัติครบ ๗ วันก็ลาศีลกลับบ้านและไปทำงานปกติ เช้าวันนั้นดิฉันเดินทางไปทำงานและลงที่ป้ายรถเมล์หลังโรงพยาบาล ตอนนั้นมีรถไฟจอดขวางทางเดิน ทุกคนที่ลงจากรถเมล์ก็ต้องปีนข้ามรถไฟ ดิฉันลังเลและรู้สึกกลัวมาก คนอื่นข้ามไปจนหมดแล้วจึงตัดสินใจปีนตาม พอจะก้าวขาลง รถไฟก็กระตุกและเคลื่อนที่ออก ดิฉันก็เลยกระโดดลง ทำให้กระดูกขาขวาหัก ต้องใส่เฝือก (ดีนะที่มันยังอยู่กับฉันครบทั้ง ๒ ข้าง ไม่หายไปไหน)

ใครจะแต่งงาน
    ด้วยความศรัทธาหลวงพ่อ ตอนที่ดิฉันจะแต่งงาน ดิฉันอยากนิมนต์หลวงพ่อเพื่อเป็นประธานสงฆ์ แต่สงสารหลวงพ่อกลัวว่าท่านจะเหนื่อยเพราะเดินทางไกล งานท่านก็มาก ดิฉันไม่อยากเห็นแก่ตัว ก่อนดิฉันจะแต่งงานได้ชวนแฟนไปกราบหลวงพ่อ พอดิฉันไปถึงกุฏิหลวงพ่อก็มีพี่ที่กุฏิหลวงพ่อเดินเข้ามาพร้อมกับบอกว่า จะมาขอพรหลวงพ่อเพื่อไปแต่งงานใช่ไหม ให้ขึ้นไปกราบหลวงพ่อได้ ท่านรออยู่ ดิฉันดีใจสุดขีด หลวงพ่อท่านเมตตาทำสายมงคลครอบศีรษะบ่าว-สาว พร้อมทั้งแป้งเจิมหน้าผากให้ ดิฉันเป็นเจ้าสาวที่มีเครื่องแต่ง ไม่ต้องรอเจ้าพิธี ท่านมักจะเมตตาลูกศิษย์ทุกๆท่านที่มากราบเสมอ

อยู่ท้ายสุดหลวงพ่อก็รับรู้
    เมื่อเริ่มไปวัดตอนแรกๆ ดิฉันจะไปวัดบ่อยมากแทบจะเดือนละ ๑-๒ ครั้งเพื่อปฏิบัติ (ยังคิดว่าตัวเองบ้าหรือเปล่า ทรมานแทบทนอยู่ได้) บางครั้ง ถ้าไปวัดตรงกับวันพระ เจ้าหน้าที่ก็จะนำผู้ปฏิบัติไปศาลาฯ เพื่อได้รับศีลจากหลวงพ่อ และเมื่อรู้ว่าหลวงพ่อท่านจะเทศน์ ทุกคนก็กระวีกระวาดเข้าแถวรอประมาณ ๒๐-๓๐ นาที ยืนตากแดดก็ไม่มีใครหลบหนี ครบแล้วเราเดินไปเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ เพราะหลวงพ่อท่านชอบความเป็นระเบียบ เพราะหลวงพ่อท่านชอบความเป็นระเบียบ โดยเฉพาะชุดขาว ห้ามไปเดินเล่นที่ไหนต้องอยู่ในเฉพาะที่ที่ให้อยู่ ยิ่งกุฏิหลวงพ่อห้ามเข้าเด็ดขาด ต้องแต่งชุดสีหรือไม่ใช่ชุดปฏิบัติธรรมเท่านั้นถึงจะไปกราบหรือเดินชมวัดได้

    อีกครั้งที่ดิฉันไปกราบท่าน เป็นช่วงที่ดิฉันเครียดกับงานประจำมาก ระหว่างที่นั่งรอท่านเทศน์ที่ศาลาสุธรรมภาวนา ดิฉันก็นั่งเกือบท้ายสุด หอหลวงพ่อขึ้นศาลา ท่านก็เริ่มคุยและเทศน์ไปสักครู่ ฉันก็ได้ยิน “ติ๋มทำไมมันเครียดนักหรือ” ดิฉันก็ร้องเอ๊ะอยู่ในใจ ความรู้สึกนั้นอยากร้องไห้อยากวิ่งไปกราบแทบเท้าหลวงพ่อ ความทุกข์ทั้งหลายที่มีอยู่รู้สึกว่ามันหายไปทันที รู้สึกอบอุ่นเหมือนพ่อปลอบ ดิฉันอยากจะเล่าให้ใครๆฟัง จนพี่ที่ทำงานเขาล้อว่า “ทำไมทั้งวัดมีเธอชื่อติ๋มคนเดียวรึไง” ดิฉันตอบไปว่า “ก็หนูได้ยิน หลวงพ่อก็ต้องพูดกับหนูสิ

    พอหลวงพ่อเทศน์เสร็จก็ลงจากศาลา ฉันก็ไปรอเทปที่อัดเสร็จ เปิดฟังก็ไม่มีเสียงที่หลวงพ่อได้พูดกับดิฉันดลย ได้ไปถามเจ้าหน้าที่ที่อัดเสียงหลวงพ่อ เขาก็กรุณาบอกว่าอัดเสียงหลวงพ่อทุกคำพูด ตั้งแต่หลวงพ่อนั่ง ไม่ได้ตัดตอนใดออกเลย ฉันอึ้ง แล้วเสียงที่ดังขึ้นเต็มสองหูฉันล่ะ จนปัจจุบันดิฉันก็ยังจำน้ำเสียงที่ลากยาวๆปลอบใจฉันด้วยความเมตตายิ่งนั้นได้ ลูกขอกราบและจะพยายามปฏิบัติตามที่ท่านสอนให้ลูกศิษย์ทุกคนได้ดี

สวดมนต์ตีสี่
    ตอนดิฉันตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง ดิฉันมีอาการแพ้มาก กินข้าวไม่ได้ อาเจียน เลือดกำเดาไหล พอมีเวลาว่างดิฉันก็ยังไปกราบหลวงพ่อ ฟังหลวงพ่อเทศน์ มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อกำลังเทศน์ ดิฉันก็เข้าไปนั่งฟัง อยู่ๆท่านก็พูดว่า “ใครที่มาคนเดียวมีสองคนอดทนหน่อนนะให้สวดมนต์ให้ลูกตีสี่ทุกวันจะได้ไหม แล้วจะได้ลูกชายให้ชื่นใจ” ดิฉันก็ขนลุก ดีใจ พร้อมกับรับว่า “เจ้าค่ะ” แต่พอไปซื้อเทปก็ไม่มีเสียงที่หลวงพ่อพูดกับดิฉันอีกแล้ว ตอนหลังดิฉันได้ยินหลวงพ่อพูดเสมอว่า ตีสี่เป็นเวลาที่หลวงพ่อแผ่เมตตาให้ลูกศิษย์ ถ้าสถานีส่งสัญญาณ แต่ลูกศิษย์ซึ่งเป็นวิทยุ ไม่ลุกขึ้นมาสวดมนต์ แล้วหลวงพ่อจะส่งสัญญาณหรือรับรู้เรื่องของลูกศิษย์ไหม ใครทุกข์ร้อนอย่างไรหลวงพ่อจะไม่รู้ ดิฉันก็จำไว้ แต่ดิฉันก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง พอมากราบหลวงพ่อทีไรมักจะได้ยินคำพูดว่า “ปฏิบัติไม่สม่ำเสมอ ทำไม่ตลอด แล้วมันจะดียังไง” ดิฉันแย่มาก อยากดี อยากได้ แต่มักจะอ้างว่าเหนื่อย – ง่วง เสมอ พอทุกข์ทัไรถึงจะพยายามปฏิบัติทุกวัน ดิฉันอายหลวงพ่อมาก ไม่กล้าเข้าใกล้ท่านเลย แล้วดิฉันก็ได้ลูกชายจริงๆ ซึ่งตอนท้องถ้าช่วงไหนดิฉันไม่ค่อยได้สวดมนต์เจ้าลูกชายของดิฉันจะทำท้องฉันแข็ง แล้วก็จะคลอดออกมาก่อนกำหนด

รถจะคว่ำที่จันทบุรี- ตราด
    พ่อบ้านของดิฉันต้องไปออกร้านที่จังหวัดตราด ดิฉันหยุดงานยาวก็ตามไปช่วย ใช้รถปิคอัพบรรทุกผ้าเมตรเต็มถึงหลังคารถ และต้องเติมลมเต็มที่เพื่อรับน้ำหนักบรรทุก พอไปถึงจึงรู้ว่าลืมแวะเอาของที่จันทบุรี ดิฉันขับรถเปล่ากลับไปที่จันทบุรี โดยมีลูกสาววัย ๓ ขวบกว่าตามไปด้วย ตอนขากลับลูกสาวดิฉันหลับ ดิฉันเป็นคนที่ขับรถเร็ว ช่วงนั้นจันทบุรี- ตราดเป็นช่วงน้ำท่วม ถนนยังมีดินโคลน จังหวะที่ขับกลับฝนตกปรอยๆดิฉันขับเลี้ยวขวาด้วยความเร็ว ๑๒๐ กม./ชม. ใครเคยขี่จักรยานทีหัวรถหลวมบ้าง พอเราจับแฮนด์เลี้ยวซ้าย ล้อกลับไปขวา ดิฉันก็เป็นแบบนั้นแหละ รถดิฉันปีนขึ้นไปบนเกาะกลางถนน แล้วก็กระแทกลงมา แล้วก็ตวัดกลับไปเกาะกลาวงถนนใหม่ โดยที่ดิฉันควบคุมไม่อยู่ ขณะนั้นฉันมองกระจกหลังเห็นรถบรรทุกปูน CPAC จอดขวางถนนไว้ให้ ดิฉันเดาว่าเขาคงจะให้ดิฉันเละคนเดียวไม่ให้ใครมาซ้ำดิฉันแน่ ดิฉันได้แต่นึกขอบคุณเขาในใจ พยายามเข้าเกียร์ว่างไว้ แล้วค่อยๆแตะเบรค ดิฉันไม่รู้สึกกลัวเลยแต่ก็ตกใจ หันไปมองลูกสาวยังหลับอยู่ ข้างหน้าเป็นสวนยางทึบมาก นึกในใจว่า หลวงพ่อเจ้าคะ ที่นีเป็นที่ตายของหนูหรือ มันร่มรื่นดีนะ พอฉันนึกถึงหลวงพ่อเท่านั้น รถที่ดิฉันบังคับไม่ได้ก็จอดอย่างสงบ ล้อตรงหมดทั้ง ๔ ล้อ เหมือนมีใครยกวางไว้เฉยๆ ดิฉันลงไปดูผลงาน สภาพดินโคลนจากล้อรถของดิฉันเหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้ายังไงก็อย่างนั้น คนที่ขับรถขวางถนนให้ไม่นึกว่าจะเป็นผู้หญิงขับ เขาบอกว่าถ้าดิฉันไม่มาถึงก่อนเขาคงไม่รอด ที่ดิฉันรอดมาได้คงเป็นสติที่รู้ตัวอยู้ตลอดทำให้ไม่กลัวจนลนลาน บารมีหลวงพ่อแท้ๆทำให้ดิฉันยังคงมีสิทธิพอใจในโลกอันกระท่อนกระแท่นนี้ได้

แม่ชีสมคิดเรียกให้เข้ากรรมฐาน
    ระหว่างเวลาที่ดิฉันไป-กลับ เข้าปฏิบัติกรรมฐานบ่อยบ้างห่างบ้าง เพราะลูกๆของดิฉันโตขึ้นทุกวัน ช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ดิฉันได้พบแม่ชีสมคิด มาลีหอม ซึ่งมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี วันนั้นแม่ (ขออนุญาตเรียกว่าแม่ เพราะรักและเคารพอย่างสูง) มีสีหน้าเฉยมากไม่ยิ้มเลย จนดิฉันไม่สบายใจ ดิฉันก็ทักทายสวัสดีท่าน แล้วแม่ก็บอกว่า “ติ่ม เดือนเมษายนให้ไปเข้ากรรมฐาน” แม่พูดกับดิฉันด้วยน้ำเสียงที่เข้มออกดุมาก ดิฉันก็รับคำอย่าง งงๆ คิดว่าเกิดอะไรขึ้น ธรรมดาแม่ไม่เคยสั่งหรือพูดกับดิฉันแบบนี้เลย คิดว่าแล้วแม่รู้ได้อย่างไรว่าดิฉันจะได้เวรหยุด แต่เมื่อรับคำท่านแล้วดิฉันก็รีบขอเวรหยุด ขอพักผ่อน

    เมื่อดิฉันได้เวรหยุด ๗ วัน เดือนเมษายนได้เข้าปฏิบัติกรรมฐานตามที่รับคำแม่ ไม่คุยกับใครเลย ได้แต่เข้ากราบแม่ว่าหนูมาแล้ว วันแรกก็ปกติดี วันที่ ๒ ดิฉันไปปฏิบัติที่ลานดิน เดินจงกรมครบ กำหนดยืนหนอ ๕ ครั้ง แล้วก็นั่ง เวลาผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง ที่ดิฉันเชื่อว่าไม่ได้ง่วงหรือสัปหงก ดิฉันเห็นภาพศีรษะของดิฉันตกลงมาบนตัก อยู่ในมือที่ดิฉันซ้อนขวาทับซ้ายไว้พอดีมันดำและเน่าอือ ดิฉันมองอย่างตกตะลึง อึดใจก็มีลำแสงสีเขียวหัวเป็ดแต่ใสหน่อย พุ่งมาจากกุฏิหลวงพ่อ มีฝ่ามือมาโกยหัวที่เน่าของดิฉันขึ้นตบวางบนบ่า ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองแทบหงายหลัง ออกจากกรรมฐาน ดิฉันน้ำตาไหลพราก รีบไปกราบแม่ กอดท่านไว้แน่น แต่ดิฉันพูดไม่ออกจนวันกลับ ได้แต่นึกว่าแม่จ๋าหนูรู้แล้วว่าแม่ต่อชีวิตให้หนู

    ดิฉันคอเคล็ดไปร่วม ๒ เดือน สวดมนต์ภาวนาอุทิศส่วนกุศลครั้งใด ดิฉันก็นึกถึงและอุทิศให้แม่สมคิด มาลีหอม ผู้มีพระคุณของดิฉัน ให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง ถ้าว่างช่วงใดดิฉันจะไปช่วยงานทานกุศลบ้างเท่าที่ดิฉันจะทำได้ ถ้าไม่รบกวนใคร ในชีวิต ดิฉันประสบเหตุการณ์ไม่น่าเชื่อหลายๆครั้ง ดิฉันเชื่อว่าสติและบุญบารมีของหลวงพ่อคุ้มครองดิฉัน เวลาปฏิบัติดิฉันก็ไม่รู้สึกว่าเราทำอะไรได้เรื่องหรือไม่ได้เรื่อง แต่ทุกครั้งดิฉันจะทำด้วยความตั้งใจ เพราะคิดว่าตัวเองต้องทิ้งภาระงาน ทิ้งลูกมาอยู่วัดหลายวัน ดิฉันต้องตั้งใจทั้งปฏิบัติและช่วยงานเท่าที่ทำได้

บ้านจะถูกยึด
    ระยะหลังถ้าดิฉันไม่ได้สวดมนต์ (พาหุงมหากาฯ)จะรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้อาบน้ำ วันหนึ่งดิฉันตื่นนอนตามปกติ อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย (หลวงพ่อมักจะพูดว่าเราเข้าห้องพระสวดมนต์ ก็เหมือนเราเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า) สวดมนต์แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลเสร็จ ยังไม่ทันลืมตา ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อดังผ่านเข้าทางกระหม่อมผ่านออกทางหู “ให้ไปธนาคาร” ดิฉันก็คิดเอ๊ะอะไร! วันที่สองก็ได้ยินอีก “ให้ไปธนาคาร” น้ำเสียงเริ่มหนักขึ้น ดิฉันรู้สึกแปลกอยู่เหมือนกัน คิดว่าตัวเองกังวลไปเอง วันที่สามพอสวดมนต์เสร็จ คราวนี้เสียงหลวงพ่อดังและเข้มมาก “บอกว่าให้ไปธนาคาร” เสียงดังก้องอยู่สองหู บังเอิญวันนั้นดิฉันไม่ได้เข้าเวร รีบคว้าเอกสารเกี่ยวกับบ้านของธนาคาร ในตอนนั้นดิฉันมีบ้านที่อยู่ในธนาคาร ๒ ธนาคาร และเป็นลูกหนี้ลูกค้าอีก ๓ ธนาคาร ดิฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงคว้าเอกสารของบ้านหลังนั้น

    ดิฉันไปถึงสำนักงานใหญ่ พนักงานถามว่าจะติดต่ออะไร ดิฉันก็ไม่รู้ เขาก็ให้ดิฉันขึ้นไปติดต่อฝายกฎหมาย (ดิฉันไม่เคยขอดูสลิปของบ้านที่สามีผ่อนชำระ) ดิฉันยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่ เขาก็กดดูข้อมูลประวัติของบ้านแล้วส่งดิฉันให้ไปคุยกับทนาย เพราะสามีดิฉันผ่อนชำระไม่ครบจำนวน ทำให้ดอกเบี้ยทบต้นตลอด ทนายถามว่า “เอาเงินมาเท่าไหร่” ดิฉันก็งงถามว่า ค่าอะไร แอบนึกถึงหลวงพ่อ ให้เขาเมตตาคุยกับเราดีๆนะ อย่าโมโหนะ ทนายก็ถามว่า “คุณไม่ได้รับจดหมายจากธนาคารเลยรึถึงไม่รู้รายละเอียดอะไร” ดิฉันปฏิเสธ เขาก็ถามทันทีว่าแล้วคุณมาได้ยังไง ดิฉันนึกว่า ถ้าบอกว่า มาเพราะหลวงพ่อบอกให้มา ธนาคารเขาคงต้อง…

    ดิฉันจึงตอบเขาว่าไม่ได้มาติดต่อธนาคารนาน เลยมาติดต่อดูบ้าง เขาก็บอกรายละเอียดว่า ดิฉันเป็นหนี้ที่เป็นดอกเบี้ยประมาณ ๕ แสนบาท เพราะการผ่อนชำระที่ไม่ครบจำนวนมาตลอด ๒ ปี ทำให้ถูกปรับดอกเบี้ยเป็น ๑๘.๕% ให้ดิฉันผ่อนชำระตามโครงการ ๖ เดือน จำนวนเงินเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท ดิฉันคิดแล้วก็ยอมอดทนครบ ๖ เดือน เงนดอกเบี้ยตัวแดงหายไปหมด แล้วยังลดเป็นเงินต้นให้ดิฉันด้วย ครบกำหนดดิฉันทำสัญญาใหม่ได้ลดดอกเบี้ยเป็น ๔.๒๕%
ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงหลวงพ่อบอก ดิฉันคงไม่มีโอกาสได้หมดหนี้แน่ๆ

นางสุปราณี สุขสายญาติ
๕๖/๒๔ ซอยกรุงเทพ-นนท์ ๗
ถนนกรุงเทพ-นนท์ ตำบลบางเขน
อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ๑๑๐๐๐
โทรศัพท์ ๐๘๑-๖๘๗-๑๘๔๔

 

อานาปานสฺสติ ยสฺส ปริปุณฺณา สุภาวิตา
กาโยปิ อญฺชิโต โหติ จิตฺตมฺปิ โหติ อนิญชิตํ.
อานาปานัสสติ อันผู้ใดอบรมบริบูรณ์ดีแล้ว
ทั้งกายทั้งจิตของผู้นั้นก็ไม่หวั่นไหว
(สริปุตตฺต) ขุ.ปฏิ.๓๑/๒๕๐

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›