๑๔/๒๒ อานุภาพการเรียนพระกัมมัฏฐานและการสวดมนต์

บุญเติม อินทฤทธิ์

 

    กระผมและครอบครัวได้เข้านมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคลครั้งแรกเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๕ และได้รับเมตตาให้เรียนพระกัมมัฏฐาน โดยมีแม่ชี ซูง้อ แซ่เอ็ง เป็นครูสอน คุณแม่ใหญ่ คุณแม่อุบาสิกาสุ่ม ทองยิ่ง เป็นครูใหญ่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นอาจารย์ผู้สอบอารมณ์ ต่อมากระผมได้พาคุณแม่ของภรรยา น้องภรรยา หลาน บุตรชาย และเด็กวัดสระแก้ว ลูกศิษย์หลวงพ่อสำเนียงจังหวัดอ่างทอง มาเข้าเรียนปฏิบัติพระกัมมัฏฐานที่วัดอัมพวัน ซึ่งกระผมเคยเขียนบทความไว้ในหนังสือกฏแห่งกรรมธรรมปฏิบัติ เล่ม ๘ หน้า ๗๕ ครั้งหนึ่งแล้ว

    ณ วันนี้ วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ผลปรากฏว่า คุณแม่บุญรอด จำนงค์บุตร (คุณแม่ของภรรยา) แต่เดิมมีอาการตาฟาง ปัจจุบันมีร่างกายแข็งแรง สุขภาพดีมาก สายตาดี สามารถตัดเย็บกางเกง-เสื้อผ้าได้อย่างมีฝีมือ น้องภรรยา คือ คุณสำเริง จำนงค์บุตร ปัจจุบันรับราชการตำรวจตระเวนชายแดนอยู่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี หลานคือ นางสาวเพลินพิศ จำนงค์บุตร เป็นเด็กเรียนดี แต่ยากจน ได้ส่งไปเรียนที่โรงเรียนวังไกลกังวล หัวหิน จบแล้วได้โควต้ามาเรียนที่สถาบันราชมงคลกรุงเทพ ปัจจุบันจบปริญญาตรี มีงานทำแล้ว

    บุตรชาย คือ คุณอภิชาติ อินทฤทธิ์ ในชั้นต้นคิดว่าคงจะส่งลูกเรียนได้เพียงแค่ ปวส. เพราะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่ก็สามารถเรียนต่อได้จนจบปริญญาตรี ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ จังหวัดขอนแก่น ในวันหยุดคุณอภิชาติจะไปปฏิบัติธรรม หรือช่วยงาน ท่านพระครูสมุห์ธีรวัฒน์ ฐานุตตโร แห่งศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน ขอนแก่น

    เด็กจากวัดสระแก้ว คือ คุณสถิตย์ มีพิมพ์ ปัจจุบันรับราชการตำรวจอยู่ที่อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี

    ตามที่กระผมได้กราบเรียนมานี้เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในครอบครัว ที่ได้มารับพระกัมมัฏฐาน จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมเวลาโดยประมาณ ๗ ปี ซึ่งแต่ละคนที่กล่าวมานี้ในอดีตยังไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตไปในทิศทางใด แต่ปัจจุบันถือว่าทุกคนได้ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตพอสมควรแก่ฐานะและภูมิปัญญาของตน

    สำหรับส่วนตัวกระผม ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๓๗ ได้ย้ายหน้าที่การงานจากอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี มาอยู่อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ทำให้จิตใจว้าวุ่นมาก บางครั้งควบคุมอารมณ์ไม่ได้ มีความทุกข์มาก เวลาปฏิบัติธรรมจะพบสิ่งอัศจรรย์แปลกๆ หลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อพบสิ่งอัศจรรย์แล้วรีบเดินทางไปกราบนมัสการเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อในทันที ได้รับคำตอบจากพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างซาบซึ้งใจ ไม่มีที่เปรียบปานได้

    ช่วงที่กระผมมีความทุกข์มากได้ไปที่วัดเขาวงษ์ ตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อปฏิบัติธรรม (เพราะห่างจากที่ทำงานไม่มากนัก) โดยมีพระครูนิยมศิริทัต (เจ้าอาวาสวัดเขาวงษ์) คอยช่วยเหลืออุปการะ ท่านได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า เมื่อฝึกใช้สติควบคุมจิตไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร น่าจะเรียนพระปริยัติธรรมไปด้วย เมื่อจิตมั่นคงเวลาใดจึงปฏิบัติพระกัมมัฏฐานควบคู่กันไป กระผมจึงน้อมรับฟังคำแนะนำของท่านด้วยความเคารพ จากนั้นกระผมเริ่มเรียนพระปริยัติธรรมตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ สอบในสนามหลวงปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้ธรรมศึกษาชั้นตรี ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ สอบได้ธรรมศึกษาชั้นโท และในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ สอบได้ธรรมศึกษาชั้นเอก

    ผลจากการที่กระผมเรียนธรรมศึกษาเอกจบแล้ว ทำให้ซาบซึ้งในสำนักเรียนทุกสำนัก และสำนักสอบธรรม ซึ่งเป็นที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนาพระปริยัติธรรมให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป

    แต่สิ่งที่ประทับใจมากที่สุด คือ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชสุทธิญาณมงคล ซึ่งอยู่ในฐานะผู้อำนวยการสอนพระกัมมัฎฐาน

    การสอนการเรียนเรื่องพระกัมมัฎฐาน มิใช่เรื่องง่าย อาจารย์ผู้สอนต้องมีภูมิปัญญาและจิตวิทยาในการสอน ผู้เรียนต้องมีความอดทนเข้มแข็งอย่างยิ่ง แต่เป็นเรื่องที่สามารถเรียนได้

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ใช้พลังปัญญาบารมี ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย สามารถเรียนได้ทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่นหนุ่มสาว วัยกลางคนและวัยสูงอายุ เมื่อเรียนพระกัมมัฏฐานจากท่านแล้วนำไปปฏิบัติ สามารถทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จไปแล้วมากมาย หาดูหลักฐานได้จากหนังสือกฏแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ ตั้งแต่เล่ม ๑ เป็นต้นไป

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนให้ทุกท่านที่มีปัญหาชีวิตสวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ พาหุงมหากา แล้วสวดพระพุทธคุณมากกว่าอายุ ๑ จบ แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล จากเหตุร้ายจะกลายเป็นดี จากดีจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น กระผมขอยืนยันว่าอานุภาพจากการสวดนี้มีจริง และสามารถช่วยเหลือเป็นที่พึ่งได้ กระผมขอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของกระผม ดังนี้

    เด็กชาย โสฬส อินทฤทธิ์ อายุ ๑๓ ปี เป็นบุตรคนที่ ๖ ของกระผม เรียนอยู่ชั้น ม. ๑ โรงเรียนตาคลีประชาสรรค์ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ (เคยถ่ายภาพร่วมกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ อยู่ในหนังสือ กฏแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติเล่ม ๘ หน้า ๗๕)

    เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๒ นางหนูจร (เป็นคุณแม่ของ เด็กชายโสฬส) ป่วยเป็นโรคลมชักอยู่บ่อยๆ ลูกจึงนำไปตรวจที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ คุณหมอตรวจแล้วพบเนื้องอกในสมองจำเป็นต้องผ่าตัดในทันที หลังการผ่าตัดแล้วอาการทรุดลงจนแทบหมดโอกาส หลานๆ ได้เตรียมการจองศาลา ๖ วัดธาตุทองไว้เป็นที่เรียบร้อย

    ทางญาติจึงส่งข่าวให้กระผมและเด็กชายโสฬสทราบ เด็กชายโสฬสเสียใจร้องไห้ กระผมปล่อยให้เขาร้องไห้จนนิ่งแล้วบอกเด็กชายโสฬสว่า การร้องไห้ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากยาและหมอเท่านั้น เย็นนี้ขึ้นนอนแต่หัวค่ำ กราบพระ สวดมนต์ตามหนังสือของวัดอัมพวัน ที่หลวงพ่อจรัญสอนไว้จะสามารถทำให้แม่ถูกยาที่หมอให้ และหายป่วยได้ตามปกติ

    เด็กชายโสฬสได้นำหนังสือสวดมนต์มาอ่าน และสวดตามคำแนะนำของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคลทุกประการ สวดก่อนนอนทุกวันเริ่มตั้งแต่วันที่ทราบข่าวว่าแม่จะตาย ผลปรากฏว่า อาการป่วยของแม่เด็กชายโสฬสดีขึ้นตามลำดับ และออกจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้เมื่อวันศุกร์ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๒ กระผมและเด็กชายโสฬสลงไปเยี่ยม เห็นรอยผ่าตัดที่ศรีษะแล้วน่าใจหาย เด็กชายโสฬสได้ตั้งสัจจะไว้ว่า เมื่อโรงเรียนปิดภาคเรียน จะมาปฏิบัติพระกัมมัฏฐานที่วัดอัมพวัน เป็นเวลา ๗ วัน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่

    กระผมขอกราบบูชาพระคุณของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล ที่ได้แนะนำการสวดมนต์ และขอขอบพระคุณท่านผู้มีจิตศรัทธาพิมพ์หนังสือสวดมนต์ แจกเป็นธรรมทานที่วัดอัมพวัน ขอให้ท่านได้มีส่วนในกุศลครั้งนี้ด้วย

    ขออัญเชิญอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก และที่วัดอัมพวัน พร้อมทั้งบุญบารมีที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคลได้อนุเคราะห์มวลมนุษย์และสั่งสมไว้ทุกภพทุกชาติ ได้โปรดอภิบาลพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ให้มีพลานามัยแข็งแรง มีความเกษมสำราญ อยู่เป็นหลักชัยของพระบวรพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญที่พึ่งอันอุดม ของพุทธศาสนิกชนผู้ใฝ่ธรรมตลอดกาลนานเทอญ

 

 

    …ท่านเจ้าคุณอุดมวิชชาญาณ [พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ์)] อธิบายว่า
….“หนอ” เป็นภาษาไทย แปลมาจากบาลีว่า วต เป็นภาษาธรรม ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อญฺญา สิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ หรือดังที่พระยสกุลบุตรกล่าวว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ…
…หนอ หรือ วต สามารถตัดกิเลสได้ เพราะเป็นการยึดเหนี่ยวใจให้อยู่กับสติ ถ้าไม่ใส่หนอไว้จิตมันไม่ค่อยอยู่ มันวิ่งออกไปข้างนอกมากมาย หมายความว่าเพื่อต้องการให้จิตช้าลง ถ้าไม่มี “หนอ” แล้วกำหนดไม่ได้
…“หนอ” นี่แหละเป็นการกระตุ้นเตือนให้จิตเข้าไปผนวกบวกกับสติได้ง่าย ถ้ากำหนดแต่เพียง พอง-ยุบ มีแต่จะทำให้จิตใจร้อนรน “หนอ” เป็นการล้างจิตให้เยือกเย็น โดยมีสติสัมปชัญญะ เป็นการดึงจิตให้อยู่กับที่ได้

จากเรื่อง “หลวงพ่อเล่าเรื่องสมเด็จย่า”
โดย พระราชสุทธิญาณมงคล (หนังสือกฏแห่งกรรมฯ เล่ม ๑๐)

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.htmlหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

 

กลับหน้าหลัก ›