๒๐/๔๖ แม้อยู่ไกลถึงสเปน ยังร่มเย็น ด้วยบารมีหลวงพ่อจรัญ

พลเรือตรี ไพโรจน์ แก่นสาร

 

    ผมเริ่มเป็นลูกศิษย์หลวงพ่ออย่างเต็มตัวเมื่อวันที่รับกรรมฐานจากท่าน ในต้นเดือนตุลาคม ๒๕๓๖ หลังจากนั้น ก็ได้อาศัยคำสอนของท่านเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจ และชี้นำการดำเนินชีวิตตลอดมา ฟังธรรมะทั้งจากท่านโดยตรงและเทปของท่าน รวมแล้วนับร้อยชั่วโมง นำคำสอนของท่านมาปฎิบัติและบอกเล่าต่ออีกมากมายหลายโอกาส เช่น แทรกเข้าไปในการอบรมผู้ใต้บังคับบัญชา และการบรรยายทางวิชาการในหลายหลักสูตร ทั้งในกองทัพเรือและสถาบันการศึกษาอื่น มีบ่อยครั้งเหมือนกันที่มีผู้มาปรับทุกข์ที่ตนกำลังประสบ คำสอนใดของหลวงพ่อที่ผมพอนึกได้ และเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อ ก็ถ่ายทอดให้เขาไป โดยไม่ลืมแนะนำด้วยว่าให้หาโอกาสไปฟังธรรมจากหลวงพ่อเอง และปฎิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน ผมระลึกอยู่เสมอว่าเป็นบุญของผมจริงๆ ที่ได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ช่วยให้ผมได้รับกุศลหลายต่อ การปฎิบัติตามคำสอนของท่านนั้นเห็นได้ชัดเจนว่า ชีวิตของผมและครอบครัวมีความสุขความเจริญยิ่งขึ้นโดยลำดับ นอกจากนั้นการนำคำสอนของหลวงพ่อไปเผยแผ่ต่อ ยังได้มีส่วนช่วยชักนำคนให้หันมาสนใจธรรมะ และฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมากขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย

    ในเดือนตุลาคม ๒๕๔๐ ผมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยทูตทหารเรือ และรักษาราชการผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร ( เป็นตัวแทนกองทัพบกและกองทัพอากาศด้วย ) ประจำกรุงมาดริด ประเทศสเปน มีกำหนด ๓ ปี การปฎิบัติหน้าที่โดยรวม เป็นไปด้วยความเรียบร้อยสมความมุ่งหมายของทางราชการ คงไม่คิดว่าผมเข้าข้างตัวเองนะครับ เพราะพอมีเหตุผลรองรับอยู่บ้าง คือก่อนพ้นหน้าที่ ผมได้รับการปูนบำเหน็จเป็นพิเศษเหนือจากขั้นปกติ และได้รับพระราชทานยศเป็นพลเรือตรีในตำแหน่งที่น่ายินดีมากด้วย ผมกล้ากล่าวอย่างเต็มปากว่าเบื้องหลังความสำเร็จในชีวิตราชการของผมครั้งนี้ ก็คือบารมีธรรมที่เกิดจากการปฎิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อนั่นเอง

    ไม่เพียงแต่ตัวผมและครอบครัวเท่านั้นที่มีความร่มเย็นเป็นสุขมากขึ้นด้วยการเชื่อฟังหลวงพ่อ แม้แต่นางมาร์จอรี่ ( Marjorie ) ล่ามหญิงม่ายวัย ๖๕ ปี ( ในขณะนี้ ) และลูกๆ ของเธอ ก็ยังมีชีวิตที่ดีขึ้นเพราะคำสอนของหลวงพ่อด้วย เขาเป็นลูกครึ่งพ่ออังกฤษกับแม่ชาวชิลี แต่งงานกับชาวอเมริกันชื่ออัลเบอร์โต้ ( Alberto) ใช้ชีวิตคู่ด้วยความราบรื่นอยู่เกือบสามสิบปี เริ่มตั้งหลักฐานอยุ่ที่ประเทศเปรู (อมเริกาใต้ ) ตั้งแต่แต่งงานใหม่ ๆ อยู่ได้ไม่กี่ปีก็ย้ายมาทำมาหากินในสเปน สามีนักธุรกิจ มีบริษัทของตัวเอง รายได้ดีพอสมควร ครอบครัวไม่เคยมีปัญหาทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด นางมาร์จอรี่รับหน้าที่แม่บ้านเต็มตัว ไม่ค่อยได้ข้องเกี่ยวกับธุรกิจที่สามีทำเท่าใดนัก ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน ๕ คน ชาย ๑ คน หญิง ๔ คน อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขเรื่อยมา จนกระทั่งราวสิบกว่าปีที่แล้ว ความแตกร้าวระหว่างสามีภรรยาคู่นี้ก็เกิดขึ้นแบบตั้งรับแทบไม่ทัน โดยเฉพาะนางมาร์จอรี่เอง

    เรื่องมีอยู่ว่าสามีนักธุรกิจของนางเกิดไปมีสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับม่ายลูกสอง เพื่อนเก่านางมาร์จอรี่แนะนำให้รู้จัก ถึงขั้นกำลังจะมีบุตรด้วยกัน นางมาร์จอรี่ทำใจไม่ได้จึงยื่นคำขาดให้สามีเลือกฝ่ายที่จะอยู่ด้วย “ กับตนเองหรือภรรยาใหม่ ” โดยนึกไม่ถึงว่าสามีเลือกจะไปอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ต้องคิดนานนัก นางจึงตกอยู่ในสภาวะจำยอม ต้องประคับประคองครอบครัวด้วยความทุกข์ใจต่อมา โชคดีอยู่บ้างที่สามียอมส่งเสียส่วนหนึ่ง ( ราวเดือนละ ๓ หมื่นบาท ) และยินยอมให้นางเก็บค่าเช่าบ้านหลังใหญ่ที่เคยอยู่ด้วยกันได้อีกปประมาณเดือนละ ๘ หมื่นบาท โดยที่นางมาร์จอรี่และลูก ๆ ต้องไปหาเช่าอพาร์ทเมนท์ราคาถูก ๆ อยู่กันไป และหางานทำเพื่อให้มีรายได้พอเลี้ยงดูกันตามอัตภาพ ในช่วงที่สามีแยกทางจากแกไปนั้น ลูกสองคน(ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง) แต่งงานและแยกครอบครัวไปอยู่ต่างหาก แกจึงเหลือลูกสาวอยู่ด้วยสามคน และยังครองโสดมาจนถึงปี ๒๕๔๖ ในจำนวนนี้คนที่อายุมากสุด ( ปัจจุบัน ๔๐ ปี ) ชื่อคอนสแตนซ่า ( Constanza ) ได้มาอยู่ปฎิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน เมื่อวันที่ ๑๑-๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๓ ซึ่งจะขอเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมในตอนท้ายของบทความนี้ ส่วนลูกอีกสองคนที่อยู่กับแกไม่มีงานทำอยู่หลายปี เพิ่งมีคนรองสุดท้องได้งานเมื่อราวห้าปีที่ผ่านมานี้เอง ช่วยให้สภาวะทางเศรษฐกิจของครอบครัวดีขึ้นมากพอสมควรในปัจจุบัน

    เมื่อผมไปรับหน้าที่ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารที่กรุงมาดริด ในต้นเดือนตุลาคม ๒๕๔๐ นางมาร์จอรี่ได้ทำงานอยู่กับสำนักงานผู้ช่วยทูตฯ อยู่ก่อนแล้วประมาณ ๑ ปี ในตำแหน่งล่ามและเลขานุการประจำผู้ช่วยทูต ฯ แม้จะค่อนข้างสูงวัยไปสักหน่อย แต่นางก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเอาใจใส่ในเรื่องสุขภาพและการพัฒนาบุคลิกภาพ ด้านความรู้ความสามารถนั้นเป็นที่ยอมรับของพวกเราทุกคน พูดเขียนได้คล่องแคล่วทั้งภาษาสเปนและอังกฤษ ซึ่งคนสเปนส่วนมากไม่ค่อยจะมีความรู้ภาษาอังกฤษเท่าใดนัก สำหรับนางมาร์จอรี่แล้วไม่เฉพาะตัวแกเองเท่านั้น ลูก ๆทุกคนพูดภาษาองักฤษได้ดี บางคนพูดได้ถึง ๕ ภาษา คือ ฝรั่งเศส รัสเซีย และโปแลนด์อีกต่างหาก โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกชื่นชมความเป็นแม่ที่ดีของนางเป็นอย่างมาก ที่ทุ่มเทเรื่องการศึกษาของลูก ๆ อย่างเต็มที่ ทั้งๆ ที่เงินทองก็มีไม่มาก

    จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม นางมาร์จอรี่เป็นผู้ที่มีความฝักไฝ่ในพระธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาอย่พอสมควร นางสนใจเจริญสมาธิตามความเข้าใจแบบงูๆ ปลาๆ เรารับประทานอาหารกลางวันด้วยกันเกือบทุกวันทำงาน เพราะสำนักงานผู้ช่วยทูตทหารเรืออยู่ที่ดียวกันกับบ้านพักผู้ช่วยทูตฯ นั่นเอง เราจึงเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ระหว่างรับประทานอาหารเราเสวนาธรรมกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะในหัวข้อที่พอจะบรรเทาทุกข์ใจของนางมาร์จอรี่ได้ แม้การหย่าร้างกับนายอัลเบอร์โต้จะผ่านพ้นไปเป็นแรมปี แต่นางเองยังแค้นและตำหนิติว่าอดีตสามีอยู่เนืองๆ บ่อยที่สุดก็เรื่องความเป็นคนใจดำทั้งกับแกและลูกๆ ไม่ยอมเกื้อหนุนจุนเจือเท่าที่ควร ทนเห็นลูกไม่มีงานทำทั้งที่ตัวเป็นเจ้าของบริษัทที่มีฐานะมั่นคง คำนินทาทั้งหลายก็มักสรุปลงตรงที่ข้อหาว่า นายอัลเบอร์โต้เป็นคนเห็นแก่ตัว และลุ่มหลงลูกเมียใหม่อย่างโงหัวไม่ขึ้น

    ทุกข์ที่ถมใจนางมาร์จอรี่อยู่พอๆกับความขุ่นเคืองสามีก็คือ ความห่วงใยในอนาคตของลูก ๆ ที่ออกไปอยู่ต่างหากสองคนแล้วก็มีฐานะไม่สู้ดีนัก บางคนตกงานเป็นช่วงๆ อีกสามสาวโสดที่อยู่กันกับแกก็มีงานทำเพียงคนเดียว คือนางสาวคอนสแตนซ่า ซึ่งมักชอบเปลี่ยนงานบ่อย แต่ดีที่ว่าหางานเก่ง ว่างอยู่ได้ไม่นานก็ได้งานใหม่ รายได้อยู่ในเกณฑ์สูงเสียด้วย นึกจะไปหางานทำที่อังกฤษก็ลาออกจากงานเดิมที่สเปนเสียง่าย ๆ หวังไปตายเอาดาบหน้า หางานทำที่กรุงลอนดอน อยู่ที่นั่นไม่นานก็อยากกลับมาอยู่กับแม่ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปนอีก มีแฟนก็คบกันไม่ยืด มีเรื่องไม่ถูกใจจนทนรักกันต่อไปไม่ได้อยู่เสมอ ส่วนลูกสาวอีกสองคนที่อยู่กับแกนั้น คนหนึ่งความรู้น้อยแต่ขยัน ช่วยแบ่งเบาภาระงานบ้านงานครัว เป็นคนรองสุดท้องชื่อแพทตริเซีย (Patricia ) คนเล็กสุดชื่อซิลเวีย ( Silvia ) รักการเรียนเป็นชีวิตจิตใจ จบปริญญาโท พูดได้ ๕ ภาษา ดังกล่าวแล้ว แต่หางานทำไม่ได้ จะว่าเลือกมากก็ไม่ใช่ ยื่นใบสมัครไปทั่ว เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่าแทบไม่มีบริษัทใดในกรุงมาดริด ( เมืองหลวงสเปน ) ที่เขาไม่เคยเสนอตัวของานทำ จึงหาเรื่องเรียนไปเรื่อย ๆ

    ใครตกที่นั่งอย่างนางมาร์จอรี่ก็คงมีสภาพจิตใจไม่ต่างกันเท่าใดนัก มีชีวิตที่หมกหมุ่นอยุ่กับความแค้นเคืองอดีตสามี และความวิตกกังวลในอนาคตของลูกๆ รวมทั้งของตัวแกเองด้วย โชคดีที่ว่าแกเป็นคนสุขภาพดี มีความรู้เรื่องหมอ เรื่องยามากกว่า ที่คนทั่วไปจะคาดถึง บางครั้งเถียงกับหมอจนหมอต้องยอมแก ( พอดีหมอคนนั้นเป็นเพื่อนแกและเถียงกันในเรื่องอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของแกเอง ) แม้วัยใกล้หกสิบนางมาร์จอรี่ก็ยังดูดี และมีความหวังที่จะลงเอยชีวิตคู่กับใครสักคน เพื่อความสุขและความมั่นคงในชีวิตบั้นปลาย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะไม่กล้าหวังพึ่งลูกๆ เช่นคนไทย ด้วยวัฒนธรรม ทางสังคมที่ต่างกับเรานั่นเอง ในบรรดาคนที่คบหาอยู่กับแกที่นับว่าสนิทสนมกันที่สุด คือนายเปาโล ( Paolo) ชาวอิตาเลียน นักธุรกิจวัย ๗๕ ปี ( เมื่อ ๕-๖ ปีก่อน ) แก่กว่านางมาร์จอรี่ ถึง ๑๕ ปี แกต้องเป็นฝ่ายเดินทางไปหาเขาถึงอิตาลีทุกเดือน คริสต์มาส-ปีใหม่ก็ได้ใช้เวลาด้วยกันมากหน่อย บางปีก็ไปเที่ยวฝรั่งเศส ๗ วัน มีอยู่ครั้งหนึ่งนายเปาโลเป็นฝ่ายมาหาที่กรุงมาดริด

    หลังจากไปเที่ยวฝรั่งเศสมาด้วยกัน ราวต้นปี ๒๕๔๒ นางมาร์จอรี่มีความสุขมาก เล่าให้ฟังว่านายเปาโลดูแลแกราวกับนางฟ้า ( He Treated me like an Angle ) แกรู้สึกคล้ายจะบินได้ นายเปาโลให้ความหวังกับแกว่าจะมาอยู่ด้วยที่กรุงมาดริด ขอให้หาข้อมูลเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยเฉพาะค่าซื้อบ้านมรดกซึ่งสามีเก่า ( นายอัลเบอร์โต ) ยังมีส่วนในกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่ง ขายเมื่อไรก็ต้องแบ่งเงินให้เขาไป นายเปาโลรับปากจะจ่ายส่วนนี้ให้ เพื่อให้บ้านเป็นกรรมสิทธิ์ของนางมาร์จอรี่แต่เพียงผู้เดียว

    ฟังแกเล่าเรื่องระหว่างรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันเช่นปกติ ก็เกิดคิดถึงคำสอนของหลวงพ่อจรัญขึ้นมาในประเด็นที่ว่า ชีวิตไม่แน่นอน เราสุขก็เพื่อทุกข์ ทุกข์ก็เพื่อสุข อย่าอยู่กับความประมาท จึงหาจังหวะแทรกคติธรรมนี้เล่าให้แกฟัง หลังจากออกตัวพร้อมคำขอโทษแกแล้วก็รับฟังแต่โดยดี ซึ่งแกก็พบว่าเป็นจริงในเวลาต่อมาไม่นาน นางมาร์จอรี่เฝ้ารอการติดต่อจากนายเปาโลวันแล้ววันเล่า ไม่มีทั้งจดหมายและโทรศัพท์ แกได้เตรียมข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ตามที่นายเปาโลต้องการไว้แล้ว เช่น ราคาบ้านที่ต้องจ่ายให้สามีเก่า พร้อมกับปรึกษาทนายเตรียมการด้านนิติกรรมต่างๆ แต่กลับไม่มีข่าวจากคนรักวัย ๗๕ ทั้งที่เวลา ผ่านไปแล้วเกือบเดือน แกมาขอคำปรึกษาว่าควรจะทำอย่างไรดี จึงแนะนำไปว่าให้อดทน อย่าเป็นฝ่ายติดต่อไปก่อน เขาอาจจะเปลี่ยนใจไม่ทำตามที่ให้ความหวังไว้แล้วก็ได้ ลูกหลานที่อิตาลีคงไม่เห็นด้วยที่จะให้นายเปาโลย้ายถิ่นฐานมาอยู่สเปนตอนแก่ เราควรเฉยๆ ไว้ก่อน รอให้เขาเป็นฝ่ายติดต่อมาเอง นางมาร์จอรี่ทำเหมือนเห็นด้วยในคำแนะนำ แต่ในที่สุดแกก็อดใจไว้ไม่อยู่ ทั้งจดหมายและโทรศัพท์ไปทวงสัญญาเขา คำตอบจากนายเปาโลก็เป็นไปตามความคาดเดาข้างต้นทุกประการ แกอ้างว่าอายุมากแล้ว สุขภาพก็ไม่ค่อยดี การย้ายถิ่นฐานข้ามประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนเที่ยวฝรั่งเศสมีความสุขด้วยกันก็พูดไปตามอารมณ์เคลิบเคลิ้ม

    เจอมรสุมรักลูกนี้นางมาร์จอรี่เสียศูนย์ไปพักใหญ่ ความหวังที่จะมีชีวิตสุขสงบในบั้นปลายของแกหายไปชนิดทำใจไม่ทันแกพร่ำพรรณาถึงเคราะห์กรรมต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญด้วยน้ำตานองหน้า ครั้งแล้วครั้งเล่า จนฝ่ายที่คิดจะปลอบใจพลิกตำราแทบไม่ทัน คำสอนทั้งหลายของหลวงพ่อเท่าที่ผมพอจะนึกได้ว่าเป็นประโยชน์กับแก ถูกถ่ายทอดไปมากมาย จบท้ายด้วยการสอนให้แกเจริญกรรมฐาน แกคงเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ด้วยข้อจำกัดด้านภาษา และความที่ผมเองก็มิใช่วิปัสสนาจารย์ตัวจริง รู้แค่ไหนก็พยายามถ่ายทอดให้แกไป สาธิตให้ดูอีกต่างหาก พร้อมกับมอบภาพถ่ายของหลวงพ่อให้แกไปใส่กรอบบูชาที่บ้าน แกทำตามด้วยคาวมเต็มใจในทุกเรื่องที่แนะนำ ในที่สุดนางมาร์จอรี่ก็มีชีวิตที่ค่อย ๆ สงบเย็นลง นางเล่าว่าเห็นหน้าหลวงพ่อบ่อยครั้งในสมาธิ มีความเลื่อมใสศรัทธามาก อยากหาโอกาสมากราบด้วยตนเอง แกตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ เลิกใฝ่หาชีวิตคู่อีกต่อไป และยอมรับว่ามีความสุขกว่าเดิมมาก

    ส่วนลูกๆ นั้น แกก็ทยอยส่งให้มาปรึกษาปัญหาชีวิตทีละคน ยกเว้นคนสุดท้องที่มีความรู้มากแต่หางานไม่ได้ เป็นผู้ที่มีพุทธิจริตสูง เชื่อมั่นในตนเองมาก แกคงรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะให้คำแนะนำใด ๆ จึงไม่ส่งมา ผมจึงกลายเป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตประจำครอบครัวนางมาร์จอรี่ไปโดยปริยาย นางบอกว่า “ ลูกๆ แกทุกคนรักเคารพผมยิ่งกว่าพ่อของพวกเขาเสียอีก ” ผมต้องรีบห้ามและขอให้แกไปสอนลูกเสียใหม่ เรื่องพระคุณของพ่อที่มีต่อลูกอย่าได้คิดล่วงเกิน ไม่ว่าจะด้วยกาย วาจา หรือใจก็ตาม

    คำสอนของหลวงพ่อที่ผมนำไปถ่ายทอดต่อ มีคุณค่าอย่างมหาศาลกับครอบครัวของนางมาร์จอรี่ ในปลายปี ๒๕๔๑ ลูกสาวคนที่เปลี่ยนงานบ่อยเข้ามาปรึกษาช่วงที่ยังทำงานอยู่ที่อังกฤษ เริ่มรู้สึกเบื่อทั้งงานและคนรัก อยากรู้ว่าเขาควรจะกลับสเปนดีหรือไม่ จึงบอกเขาไปถึงคำสอนของหลวงพ่อที่ว่า “ ไม่มีใครรู้เรื่องของเราดีเท่ากับตัวเราเอง ” ขอให้ศึกษาปฎิบัติตามแนวพุทธธรรมไปเรื่อย ๆ แล้วจะได้คำตอบเองโดยไม่ต้องถามใครอีก บังเอิญขณะนั้นมีหนังสือ “ What the Bhudda Thought ”( พระพทุธเจ้าสอนอะไร ) อยู่เล่มหนึ่ง จึงมอบให้แกไป นางสาวคอนสแตนซ่าผู้นี้เป็นคนจริงจัง หลังจากอ่านหนังสือจบแล้วได้เสวนาธรรมกันอีก ๒-๓ ครั้ง ไม่นานนักแกก็ได้คำตอบอย่างมั่นใจว่าแกควรกลับมาอยู่กับแม่และหางานทำที่สเปน ปลายปี ๒๕๔๓ ซึ่งผมเพิ่งพ้นหน้าที่ผู้ช่วยทูตทหารจากกรุงมาดริดเพียงสองเดือน คอนสแตนซ่าก็ตามมาเมืองไทย ได้เข้าปฎิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันรวม ๗ วัน โชคดีที่แม่ชีซูง้ออยู่พอดี จึงไม่มีปัญหาเรื่องภาษา เขาดีใจมากที่ได้มากราบหลวงพ่อจรัญ เพราะเขายอมรับเป็นอาจารย์อยู่แล้วตั้งแต่ยังไม่ได้พบกัน เขาใช้เวลาในเมืองไทย ราวหนึ่งเดือน กลับสเปนไปไม่นานก็พบรักกับหนุ่มเยอรมันแต่งงานกันไปเมื่อปลายปี ๒๕๔๖ มีชีวิตที่มั่นคง อันที่จริงคอนสแตนซ่าซื้อบ้านของตนเอง และออกไปอยู่ตามลำพังตั้งแต่ต้นปี ๒๕๔๓ แล้ว หลังจากได้เริ่มศึกษาปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ราว ๑ ปี ขณะนี้อยู่กับสามีที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ส่วนหลังเดิมให้น้องสาวคนเล็กอยู่

    ส่วนนางสาวแพทตริเซียคนรองสุดท้อง ซึ่งแม่ของเธอส่งมาขอรับคำปรึกษาราวปลายปี ๒๕๔๒ นางมาร์จอรี่อยากให้เข้าเรียนในหลักสูตรเกี่ยวกับการบริหารคล้ายมินิเอ็มบีเอ ( Mini MBA) บ้านเรา ใช้เวลาประมาณ ๑๐ เดือน ค่าใช้จ่ายราวสามหมื่นบาทลูกสาวจะไม่ยอมเรียนเพราะสงสารแม่ ไม่อยากให้เสียเงินโดยไม่จำเป็น เขาเองเป็นคนความรู้น้อย ขาดความมั่นใจในตนเองมาตลอด เรียนไปก็คงจะไม่จบ นอกจากนั้นนางมาร์จอรี่ ยังเล่าอีกว่า ลูกสาวคนนี้เป็นคนขี้ใจน้อย ไม่ชอบสุงสิงกับใคร รู้สึกเป็นปมด้อยที่ต้องเกาะแม่กินจนอายุสามสิบกว่าแล้ว

    ผมเองก็ใช้สูตรเดิมอีกแหละครับ คิดถึงคำสอนของหลวงพ่อที่เห็นว่าเป็นประโยชน์กับเขาในเรื่องใดได้ ก็พยายามถ่ายทอดไปอย่างเต็มที่ ได้ชี้ให้แพทตริเซียเห็นว่าการที่แม่ต้องการให้เขาเรียนหลักสูตรนี้ ก็เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการหางานของเขาเองในอนาคต เป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เงินจำนวนนี้ไม่ทำให้แม่เขาถึงกับเดือนร้อนหรอก หน้าที่ของเขาคือตั้งใจเรียนให้เต็มที่ผลการศึกษาดีก็จะช่วยให้ได้งานดีด้วย ปลุกปลอบแกอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมงจนเลิกร้องไห้ ลงท้ายด้วยการสอนให้แกสวดมนต์ นั่งสมาธิ และเจริญกรรมฐาน ปรากฎว่าได้ผลเกินคาด นางสาวแพทตริเซีย เรียนจบหลักสูตรดังกล่าวด้วยคะแนนสูง เป็นอันดับหนึ่งหรือสองของนักศึกษาทั้งหมด กลายเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองขึ้นมาก ไม่ขี้น้อยใจและบ่อน้ำตาตื้นเช่นแต่ก่อน หลังจากจบการศึกษาไม่นานก็ได้งานที่มั่งคงรายได้ดีทำ แต่ยังไม่มีข่าวว่าจะแต่งงานเมื่อใด

    ทุกวันนี้นางมาร์จอรี่และครอบครัวโดยรวม มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ลูก ๆ มีงานทำทุกคน เหลือโสดอีกสองสาว ตัวแกเองยังทำหน้าที่ล่ามและเลขานุการประจำสำนักงานผู้ช่วยทูตทหารเรือ ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน

    เพราะผมขออนุญาตกองทัพเรือและรัฐบาลไทยจ้างต่อทีละปีจนกว่าจะอายุครบ ๖๕ ตามกฎหมายสเปน ซึ่งทางการไทยก็อนุโลมให้ตามนั้น จะครบกำหนดในเดือนตุลาคม ๒๕๔๘ นี้ คงจ้างแกต่อไม่ได้อีก ขณะนี้แกได้ขายบ้านมรดกได้ในราคาที่น่าพอใจ แบ่งให้นายอัลเบอร์โตอดีตสามีไปครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือขอไปซื้ออพารต์เมนท์เล็ก ๆ พออยู่กับลูกที่ยังไม่มีครอบครัว และมีเงินฝากธนาคารพอกินไปตลอดชีวิต นางยังใฝ่ฝันที่จะมาเมืองไทย และมากราบหลวงพ่อจรัญสักวันหนึ่ง

    ที่เล่ามายืดยาวนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบารมีหลวงพ่อ ที่แผ่ไปถึงอีกซีกโลกหนึ่งโดยมีผมเป็นสื่อ ยังมีอีกมากมายทั้งในส่วนที่ช่วยคนไทยที่กำลังทุกข์ใจค่อนข้างสาหัสอย่างน้อยสองคน ( ต่างกรรมต่างวาระ ) ให้พ้นวิกฤติการณ์มาได้ ด้วยการปฎิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ รวมทั้งการแก้ปัญหาในหน้าที่การงานของผมเองด้วย เอาไว้หาโอกาสเล่าในฉบับอื่นก็แล้วกัน เท่านี้ก็เกรงใจผู้อ่านและผู้จัดทำหนังสืออยู่มากแล้ว เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาวไปสักหน่อย นึกเสียว่าชดเชยที่ไม่ได้เล่ามานานก็แล้วกัน

    ท้ายสุดนี้ ผมขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมทั้งขอน้อมถวายกุศลผลบุญ ที่ผมได้สร้างสมมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันแด่หลวงพ่อ ขอจงรวมกันเป็นพลวปัจจัยเกื้อหนุนส่งเสริมบุญราศี ให้หลวงพ่อจรัญที่ศิษย์ทุกคนเคารพรัก มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ ถึงพร้อมด้วยจตุรพิธพรชัย ร่มเย็นและรุ่งเรืองในพุทธธรรมสัมมาปฎิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ .

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.htmlหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›