๑๖/๑๕ ชดใช้กรรม

 

    ดิฉันชื่อ นางลิ้นจี่  นิยมศิลป์  อายุ  ๗๕  ปี  อยู่บ้านเลขที่  ๑๒๕  หมู่  ๒  ตำบลธงชัย  อำเภอบางสะพาน  จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ดิฉันได้มาวัดอัมพวันและเข้าปฏิบัติกรรมฐานเป็นครั้งแรก  เมื่อวันที่  ๖  เดือน เมษายน  พ.ศ.๒๕๓๖   โดยที่ไม่เคยรู้จักวัดอัมพวันและหลวงพ่อจรัญ  มาก่อนเลย  มีโอกาสได้มาเพราะหลานสาวซึ่งเป็นครูอยู่โรงเรียนอนุบาลประจวบคีรีขันธ์  ชวนให้มาเป็นเพื่อน  หลานสาวได้เล่าให้ฟังว่ามาปฏิบัติธรรมฐานที่วัดอัมพวันกับหลวงพ่อจรัญแล้วหน้าที่การงานเจริญเร็ว  ดิฉันไม่มีความรู้เรื่องการปฏิบัติมาก่อนเลยในคืนแรกที่เข้าปฏิบัติในอาคารความวาสีหลังเก่าและเดินจงกรมในโบสถ์  ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอยากจะหลับอย่างเดียว  พอรุ่งเช้าไปปฏิบัติที่อาคารสุธรรมภาวนา  ช่วงนั้นผู้ปฏิบัติธรรมไม่มากเหมือนทุกวันนี้  ดิฉันเดินจงกรมยาวไปตามความยาวของศาลาเลย แม่ชีซูง้อ ถามดิฉันว่าจะเดินไปไหน  ดิฉันก็ตอบว่าเปล่า  เดินอยู่แถวนี้แหละ  แม่ชีซูง้อถึงกับหัวเราะ แล้วก็เรียกไปสอนใหม่ ให้เดินช้าๆ  อย่างมีสติ  พองหนอยุบหนอก็จำไม่ได้  ถามคนที่ไปด้วยกันเขาก็หัวเราะอีก  สามวันแรกที่เข้าปฏิบัติไม่ค่อยรู้เรื่อง  พอเข้าวันที่สี่เริ่มเข้าใจการปฏิบัติมากขึ้น  ก็พอดีครบกำหนดต้องเดินทางกลับบ้าน  ก่อนกลับได้ซื้อหนังสือกฎแห่งกรรมฯ เล่ม ๑ ถึง เล่ม ๓  กลับไปบ้านด้วย  ได้อ่านหนังสือทั้ง  ๓  เล่มจนจบทำให้นึกอยากกลับไปเข้าปฏิบัติอีก  เดือน เมษายน  ๒๕๓๗  มีโอกาสได้เข้าปฏิบัติอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ปฏิบัติได้ดีมาก  และได้อธิษฐานว่า  จะเจริญกรรมฐานแก้กรรมให้ได้  ๑๐  ปี  ตอนกลับบ้านได้ไปลาแม่ใหญ่  แม่ใหญ่ให้พรและสั่งว่า  กลับบ้านแล้วอย่าทิ้งให้ทำให้ต่อเนื่องวันหนึ่ง  เดินครึ่งชั่วโมงนั่งครึ่งชั่วโมงอย่าให้ขาด  แล้วแม่ใหญ่ได้ให้พระหลวงพ่อกวาง  ๑  องค์  ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ได้ปฏิบัติกรรมฐานมาตลอด  นั่งหนึ่งชั่วโมงเดินหนึ่งชั่วโมง  บางครั้งทำได้ถึง  ๓  ชั่วโมงก็มี

ชดใช้กรรมครั้งที่ ๑   เดือนมีนาคม  พ.ศ.๒๕๓๘   วันที่เท่าไรดิฉันจำไม่ได้แน่ชัด  คืนนั้นดิฉันได้สวดมนตร์ตั้งแต่  ๖.๓๐  น.  และทำกรรมฐานต่อ  ถึงประมาณ  ๒๓.๐๐  น.  เตรียมเข้านอน  ขณะกำลังจะนอนดิฉันก็กำหนดนอนหนอๆ  ๕  ครั้ง แล้วก็ต่อด้วยยุบหนอพองหนออีกไม่กี่ครั้งก็อยากหลับจึงพลิกตัวตะแคงขวา  พอเริ่มจะหลับกลับเห็นปากคนมาลอยอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมด  ปากสวยก็มีปากน่าเกลียดก็มีบางปากก็ยิ้มบางปากก็มีเขี้ยว  นับเป็นร้อยๆ ปาก  แล้วก็หลับไปในขณะที่หลับได้ฝันเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถือขวานเล็กๆ  กำลังสับไปที่ขาหลังของวัวแก่ตัวหนึ่ง  ดิฉันได้ร้องห้ามว่าอย่าทำเขา  แต่ก็ช้าไปเด็กได้สับขวานลงไปที่ขาหลังของวัวแล้ว  ดิฉันรู้สึกตัวตื่นฉายไฟดูนาฬิกาปรากฏว่าได้หลับไปเพียงแค่  ๕  นาทีเท่านั้น  จึงได้ลุกขึ้นนั่งและกำหนดคิดหนอๆ  คิดลำดับเหตุการณ์จำได้ว่าเป็นตัวของเราเองเมื่อตอนเด็กอายุประมาณ ๑๒  ขวบ  เหตุการณ์นี้ลืมไปนานแล้ววันนั้นเป็นวันพระพ่อแม่ไปวัด  พ่อสั่งให้เฝ้าบ้านเพราะมีวัวแก่อยู่ตัวหนึ่งใช้งานไม่ได้เจ้าของวัวปล่อยให้หากินเอง  และวัวแก่ตัวนี้ชอบเข้ามากินต้นไม้ในสวนต้องคอยไล่  ดิฉันในขณะนั้นเลยโกรธวัว  หาว่าเป็นต้นเหตุให้ไม่ได้ไปเที่ยวแถมเวลาไล่ก็ดื้อไม่ค่อยยอมจะหนีง่ายๆ  ก็เลยใช้ขวานฟันขาเสียเลย  เมื่อระลึกเหตุการณ์ได้ดังนี้แล้ว ดิฉันก็ได้แผ่เมตตาให้วัวแก่ตัวนั้น  และก็แผ่ให้มาเรื่อยทุกครั้งที่ปฏิบัติกรรมฐาน  ได้ทำเช่นนี้อยู่หลายเดือนจนวันหนึ่งประมาณเดือนตุลาคม  พ.ศ.๒๕๓๘  ดิฉันได้ขับรถจักรยานยนต์พาเพื่อนไปแจกของกฐินที่บ้านทุ่งน้อย  เกือบจะถึงบ้านที่จะนำของกฐินไปแจกมีลูกวัวตัวหนึ่งได้วิ่งตัดหน้ารถ  ดิฉันสติดีเบรคได้ทัน  เมื่อแจกซองกฐินเรียบร้อยแล้วก็เดินทางกลับ  ขณะเดินทางกลับมีเด็กหนุ่ม  ๔  คนเล่นตระกร้ออยู่ในทาง ทำให้ดิฉันจึงต้องหลบไปวิ่งข้างทางเบรครถไปชนกับก้อนหินขนาดใหญ่ทำให้รถเสียหลักล้มลงทับตัวของดิฉันและเบรคเท้าได้กดทับที่ขาข้างขวาของดิฉัน   รู้สึกเจ็บมากพอยกรถออกที่บริเวณน่องข้างขวาของดิฉันเป็นแผลขนาดใหญ่  เด็กหนุ่มที่เล่นตระกร้อช่วยกันพาไปส่งสถานีอนามัย ต้องเย็บแผลถึง  ๖  เข็ม  รักษาอยู่หลายวันกว่าจะหายเป็นปกติ

ชดใช้กรรมครั้งที่  ๒   เดือน กุมภาพันธ์  พ.ศ.๒๕๔๒   คืนหนึ่งหลังจากที่ดิฉันได้สวดมนตร์และทำกรรมฐาน  เช่นที่เคยปฏิบัติมาเป็นปกติ  เวลาประมาณ  ๒๓.๐๐  น.  ดิฉันก็ได้กำหนดนอนหนอๆ และยุบหนอพองหนอ  เกือบจะหลับก็ปรากฏเห็นปากคนมากมายเหมือนครั้งก่อน  แล้วก็หลับไปและได้ฝันเห็นลิงกัง(ลิงที่ใช้ขึ้นมะพร้าว) วัยรุ่นตัวหนึ่งกำลังจ้องหน้าดิฉันอย่างโกรธแค้น  พร้อมกับยกขาหน้าของตัวเองขึ้นมากัดสลับซ้ายขวาและก็ดึงขนบนหัวอย่างแรง  อาการของมันแสดงว่ากำลังโกรธจัด  ดิฉันรู้สึกตัวตื่นจึงลุกขึ้นกำหนดคิดหนอๆ  ลำดับเหตุการณ์จำได้ว่า  สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒  ขณะดิฉันอายุ  ๑๘  ปี  ซึ่งเหตุการณ์นี้ดิฉันลืมไปนานแล้วพี่ชายของดิฉันนำลิงกังมาฝากให้เลี้ยง  ดิฉันได้เลี้ยงไว้ประมาณ  ๑  ปี กว่าๆ  ลิงกังเริ่มโตเป็นหนุ่มและดุมากใครเข้าใกล้ไม่ได้มันจะกลัวเฉพาะผู้ชาย  ดิฉันต้องนำไปล่ามโซ่ไว้  เย็นวันหนึ่งดิฉันนำข้าวใส่จานไปให้โดยถือไม้ไปด้วย  ขณะส่งจานข้าวให้ลิงกังก็กระชากจานขว้างทิ้งแล้วกระโจนเข้าหาดิฉันตกใจใช้ไม้ที่ถือไปตีสวนออกไปถูกขาหน้าข้าหนึ่งของมันหัก  มันหยุดชะงักจับขาข้างที่หักขึ้นมากัดแล้วก็ใช้ขาหลังดึงขนที่หัวแรงๆ  มันคงเจ็บมาก  ดิฉันสงสารแต่ก็ช่วยอะไรมันไม่ได้  ดิฉันคิดว่าคงถึงเวลาที่ดิฉันจะต้องชดใช้กรรมให้กับลิงกังตัวนั้นแล้วดิฉันเริ่มกลัว  ได้แผ่เมตตาให้ลิงกังทุกครั้งที่ปฏิบัติกรรมฐาน  พยายามระวังตัวทุกอย่างไม่ประมาททำอะไรอย่างมีสติตลอดแต่แล้วประมาณเดือน กรกฎาคม  ๒๕๔๒   วันนั้นเวลาประมาณ  ๑๑.๓๐  น.  ดิฉันใช้มีดตัดกิ่งไม้ซึ่งขึ้นไปพาดสายไป  พอตัดขาดกลับดึงกิ่งไม้ไม่ลง  ต้องใช้เชื่อผูกดึง  เชือกขาดทำให้ดิฉันล้มก้นกระแทกพื้นแขนขวาพับไปข้างหลัง  รู้สึกชาพอยกขึ้นดูปรากฏว่าแขนข้างขวาหักตรงข้อมือ  เหมือนลิงกัง  ต้องเรียกพี่ชายซึ่งอยู่บ้านติดกันให้พาส่งโรงพยาบาลรักษาอยู่เกือบสองเดือนจึงหาย  ทำให้ปีนั้นไม่ได้ไปร่วมทำบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อ

นี่คือสิ่งที่ดิฉันได้ประสบมา  ถ้าดิฉันไม่ได้ทำกรรมฐานคงไม่รู้ว่ากรรมมีจริงและให้ผลจริง  ดิฉันได้ชดใช้ไปแล้ว  ๒  อย่าง  ยังไม่รู้ว่ามีอะไรจะต้องชดใช้อีก  ดิฉันพยายามแผ่เมตตาไม่ขาดทั้งเช้าและค่ำ

ดิฉันยังมีเรื่องแปลกอยู่อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นกับตัวดิฉัน  เมื่อประมาณ  ๔  เดือนที่ผ่านมานี้เอง  เรื่องมีอยู่ว่า  ในวันนั้นดิฉันไดฝันไปว่า (ปกติดิฉันจะต้องกำหนดก่อนนอนเสมอและเมื่อหลับแล้วมักไม่ฝัน)  ดิฉันกำลังกวาดใบไม้บริเวณทางเดินภายในวัดทางสาย   ซึ่งเป็นวัดที่มีการปฏิบัติกรรมฐาน  และดิฉันมักไปถืออุโบสถเป็นประจำ  กวาดไปได้สักพักรู้สึกผิดปกติขาชาเดินไม่ได้  สติบอกทันทีว่ามีอันตรายเกิดขึ้นแล้ว  ทันใดนั้นเองก็ปรากฏมีคน  ๓  คน  ตัวโต  ๑  คนตัวเล็ก  ๒  คน  ผิวขาวไม่ใส่เสื้อผ้าไม่มีผม  ในความรู้สึกของดิฉันคิดว่ามันเป็นผีกรูกันเข้ามาจับตัวดิฉัน  ตัวเล็กจับแขนคนละข้างตัวใหญ่ใช้มือสองข้างจับไหล่ของดิฉัน  ใช้เท้าของมันข้างหนึ่งเหยียบตรงสะดือของดิฉัน  รู้สึกเจ็บมากแล้วก็เริ่มชาที่ขาขึ้นมาถึงสันหลัง  เจ้าตัวใหญ่ก้มหน้าเข้ามาทำท่าจะกัดคอ  ดิฉันเอาหัวดันมันไว้แล้วเริ่มสวด  เมตตัญจะสัพโลกัสมิงฯ  ตัวเล็กสองตัวถอยออกไป  ตัวใหญ่กลับเหยียบหนักขึ้นกว่าเก่า และพยายามกัดคอให้ได้  ดิฉันเริ่มชาถึงคอกำลังหมดสติ  และในขณะกำลังจะหมดสตินั้นดิฉันนึกถึงบทพุทธคุณขึ้นมาได้  จึงเริ่มสวดพอเริ่มสวดบทพุทธคุณมันก็ถอยออกไป  ดิฉันรู้สึกตัวตื่นในขณะที่กำลังสวดบทพุทธคุณอยู่จึงสวดต่อจนจบ  แต่ยังลุกขึ้นไม่ได้เพราะยังชาตามตัวและปวดที่ท้องมาก  นอนคิดถึงหลวงพ่อจรัญ  คิดว่าถ้าเราไม่ได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อและไม่ได้ทำกรรมฐานจนมีสติ  คงช๊อคตายไปแล้ว  รอดตายเพราะบทพุทธคุณแท้ๆ  คนที่นอนหลับแล้วตายคงเป็นแบบนี้  จนถึงตอนเช้าอาการปวดที่ท้องของดิฉันก็ยังไม่หาย  จนทุกวันนี้ดิฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่าเจ้าตัวที่ดิฉันฝันเห็นมันเป็นตัวอะไรแน่  ดิฉันขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อผู้มีพระคุณสูงสุด  ประมาณมิได้  ทำให้ดิฉันพ้นจากความตาย  ทำให้ดิฉันมีสติประจำทุก ลมหายใจเข้าออก

ขอกราบพระรัตนตรัยในพิภพ        ขอนอบน้อมอริยสงฆ์ผู้ทรงศีล

ขอลูกได้ปฏิบัติธรรมเป็นอาจิณ       อวิชาดับสิ้นถึงพระนิพพาน

ขอปฏิญาณตนว่าจะปฏิบัติกรรมฐานตลอดไป

ลิ้นจี่    นิยมศิลป์

คณะผู้จัดทำ  http://www.jarun.org/contact-webmaster.htmlหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›