๑๔/๑๗ “กาลเวลาได้พิสูจน์หลวงพ่อจรัญของพวกท่านแล้ว…”

ชินวัฒก์ รัตนเสถียร

 

    ผู้เขียนเป็นคนไทยคนหนึ่งที่นับถือพระพุทธศาสนาตามทะเบียนบ้านเหมือนอย่างคนไทยอีกหลายคน มีความรู้ตามที่บอกกล่าวกันมา และจากระบบการศึกษาในโรงเรียนเพื่อสอบเอาคะแนนเท่านั้น ตอนเป็นเด็กชอบไปกราบพระธุดงค์ที่มาปักกลดที่หาดทรายหรือสนามหญ้าหน้าโรงพัก สนใจเครื่องรางของขลัง เพราะคุณพ่อเป็นตำรวจที่มีของดีติดตัวและมีวิชาได้แต่ฟังคุณแม่เล่าว่า “พ่อเองเขาเรียนวิชากับหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล และท่านเจ้าคุณเช้าวัดโพธิ์กับหลวงพ่อกันวัดเขาแก้วเป็นญาติทางย่าเอง” ทั้งสององค์นี้คุณแม่ของผู้เขียนเคยพาไปกราบท่านมาแล้ว และหลวงพ่อกันก็ให้เหรียญ ร.๕ หนึ่งอัฐ ร.ศ. ๑๒๒ พร้อมจารให้ด้วย

    สมัยเรียนมัธยมปลายเคยทำหน้าที่นำสวดมนต์หน้าเสาธง นำร้องเพลงชาติ นำสวดมนต์ทุกบ่ายวันศุกร์ คือบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และพาหุง พร้อมสวดบททำนองสรภัญญะด้วย ทุกวันนี้ก็ยังพอจำได้ รวมทั้งนำสวดวันไหว้ครู (ปาเจราฯ) ด้วย

    ตอนบวชก็บวชตามประเพณี (ไม่ถึงเดือน) แต่ก็หุงสุก และให้พรเป็น แค่นั้นเอง แต่ก็ภูมิใจที่ขานนาคได้เสียงดังชัดเจน ไม่ต้องให้พระท่านบอกบท (เพราะตั้งใจบวช แต่ไม่เข้าใจ) ไม่ได้เรียนรู้อะไร ได้แต่ห่มผ้าตามเขาบอก และออกบิณฑบาตทุกเช้า

    ผู้เขียนไม่มีความลึกซึ้งในธรรมะดังที่กล่าวแล้วข้างต้น แต่ก็ชอบที่จะไปพบพระ หาหลวงพ่อต่างๆ เหมือนอย่างที่คนไทยทั่วไปประพฤติปฏิบัติกัน มิได้ไปพบพระเอาพระมาไว้ในใจ มิได้ไปวัดเพื่อให้ได้ วัตถุธรรม วัดใจ วัดอารมณ์ เหมือนอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญท่านสอนสั่ง เมื่อทำงานแล้ว คุณแม่ก็ยังไปกราบนมัสการหลวงพ่อฮวด วัดหัวถนนใต้ ซึ่งคุ้นเคยกับทางบ้าน เพราะญาติทางแม่อยู่หัวถนนใต้ ญาติทางพ่ออยู่หัวถนนเหนือ ท่านก็จ้องหน้าแล้วให้เหรียญเป็นที่ระลึก ครั้นไปทำงานต่างจังหวัดประสบปัญหาเคยไปกราบนมัสการเรียนถามหลวงปู่เหมือน วัดกำแพง ชลบุรี ท่านก็ให้สติข้าพเจ้าว่ามันเป็นกรรมเก่าต้องอดทน แล้วท่านก็พรมน้ำมนต์และให้พระมาเป็นที่ระลึก เรื่องทรงเจ้า ผู้เขียนเองก็สนใจ ตอนนั้นมีปัญหาหนักมาก แต่ก็รอดมาได้อย่างไรไม่รู้ เพื่อนพาไปหาเจ้า เจ้าบอกว่า เอ็งนี่รอดตายมาได้อย่างไร? แล้วถามว่าอยากรู้ไหม? ก็บอกว่าอยากรู้ เจ้าบอกว่าถ้าอยากรู้ เอ็งต้องมาเป็นร่างทรงก็เลยไม่อยากรู้ แต่ปกติแล้วผู้เขียนก็ไหว้พระสวดมนต์ โดยเฉพาะ บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จนถึงพาหุงมหากา เป็นประจำแต่ไม่สม่ำเสมอ และเป็นการสวดตามปกติจบเดียว รวมทั้งพระคาถาชินบัญชรด้วย จนเมื่อมาพบหลวงพ่อจรัญ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า ที่เรารอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ก็เนื่องด้วยอานิสงส์อันนี้นี่เอง

    นับตั้งแต่ผู้เขียนมาเข้าวัดปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๓๕ ได้ฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่ออบรมสั่งสอน เกิดความประทับใจในคำสอน แล้วก็ไม่เคยไปวัดไหนเป็นประจำอีกเลย ผู้เขียนได้รับความรู้หลายอย่าง ตั้งแต่ พระพุทธศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม เพิ่งจะถึงบางอ้อว่าแท้จริงแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้งมาก มีปัจจัยประกอบที่แยบยล มิใช่มีความหมายเพียงแค่ที่เราท่องจำเอาคะแนน เช่น ทำดีได้ดี ผู้เขียนเคยมั่นใจว่า เราทำดี ไม่เอาเปรียบ ไม่โกงกิน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ถูกต้องแล้วจะประสบความสำเร็จ แต่ไม่ใช่เพราะการกระทำดังกล่าว ต้องมีปัจจัยประกอบ ดังที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนญาติโยมว่า “ทำดี ต้องถูกตัวบุคคล ถูกเวลา ถูกสถานที่ (อย่าไปตรงทางโค้ง เดี๋ยวรถจะตกถนน) และทำดีต้องเสมอต้นเสมอปลาย” และยังสอนอีกว่า “ทำความดีต้องมีอุปสรรค ทำความดีต้องลงทุนด้วยความลำบาก” นี่คือสิ่งที่ได้รับจากหลวงพ่อจรัญ

    จากประสบการณ์ดังกล่าว ผู้เขียนได้จัดกลุ่มของพระสงฆ์ ที่ได้ยินได้ฟังหรือพบเห็น เป็นกลุ่มดังนี้
    ๑. กลุ่มอิทธิฤทธิ์ ซื่งมักจะเรียกรวมๆ ว่าเกจิอาจารย์ พระสงฆ์กลุ่มนี้จะมีวิชาอาคมขลัง จะเป็นพระที่พูดน้อย เคร่งขรึม มีตบะ และสายตามีอำนาจ แต่ก็แฝงด้วยเมตตา ญาติโยมนิยมไปกราบไหว้ขอความช่วยเหลือให้แก้ไขปัญหาต่างๆ ขอบารมีคุ้มครอง ขอเครื่องรางของขลัง ขอน้ำมนต์ ขอให้เป่าขม่อม เป็นต้น
    ๒. กลุ่มปฏิบัติ หรือที่เรียกกันว่าพระสายปฏิบัติหรือพระป่า พระสงฆ์กลุ่มนี้ จะมีบุคลิกลักษณะคล้ายหรือเหมือนกลุ่มแรก คำสอนของท่านเรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง ต้องพิจารณาใคร่ครวญ ท่านสอนเหมือนกับไม่ได้สอน การเคลื่อนไหวร่างกายทุกอิริยาบถ เรียบร้อยงามตา น่าเลื่อมใส เน้นเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อปฏิบัติได้จริง รู้จริง ก็นำมาสั่งสอนประชาชนทั่วไป (ตามแนวทางพระพุทธเจ้า) บางองค์ท่านรู้แล้วก็เพียรปฏิบัติต่อไปมิได้ออกมาสั่งสอนผู้ใด (ตามแนวทางพระปัจเจกพุทธะ) ญาติโยมนิยมไปทำบุญ ไปฟังธรรม ไปปฏิบัติ
พระสงฆ์ทั้ง ๒ กลุ่มนี้ ประชาชนนิยมไปกราบไหว้ หรือขอเพียงแค่ไปทำบุญ ถวายปัจจัย หรือได้เห็นหน้าก็ถือว่าได้บุญมาก และเป็นมงคลแก่ชีวิต
    ๓. กลุ่มเรียน จะเป็นพระนักพูด นักเขียน และนักวิจารณ์

    เป็นที่น่าประหลาดใจ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อของพวกเรา ท่านมีคุณสมบัติครบทุกกลุ่ม กล่าวคือ

    ในด้านอิทธิฤทธิ์ พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีครูบาอาจารย์แนวนี้หลายองค์ อาทิ หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อจง หลวงพ่อจาด หลวงพ่อลี และอีกหลายองค์ หลวงพ่อเคยเป็นหมอดูโดยใช้กระจกวิเศษ ที่ดูแม่นดุจตาเห็น (คนรุ่นเก่าที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นพยานได้หลายคน) แต่ในที่สุดหลวงพ่อก็เลิก และทิ้งกระจกนั้นลงสระน้ำหน้าวัดพรหมบุรี ด้วยเหตุผล มีคนได้ คนเสีย หลวงพ่อบอกว่า การเสกผ้าอาบเป็นกระต่ายวิ่งได้ก็จริง แต่เดี๋ยวมันก็กลับเป็นผ้าเหมือนเดิม น้ำมันมนต์ของหลวงพ่อช่วยคนเจ็บ คนป่วยมามากมาย บ้างก็กิน บ้างก็ทา หรือแม้แต่พระเครื่องของท่านที่ชื่อ “พระพุทธนฤมิตโชค” ก็เลื่องชื่อ จนมีการทำเลียนแบบและจำหน่ายตามแผงพระและโฆษณาในหนังสือ ทั้งๆ ที่หลวงพ่อไม่เคยเน้นหรือพูดถึง หลวงพ่อมักพูดให้สติอยู่เสมอว่า “ความขลัง ของอาจารย์เป็นความคลั่งของลูกศิษย์ ไม่เป็นมิตรกัน”

    ในด้านปฏิบัติ หลวงพ่อได้พบครูบาอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ คือ หลวงพ่อในป่าหรือหลวงพ่อดำ ซึ่งหลวงพ่อฝึกฝนปฏิบัตินานนับสิบปี จนได้ผลและขบปริศนาธรรมของท่านแตก จึงไปพบท่านที่เขาภูคาจังหวัดน่าน และเดินธุดงค์จนถึงหงสาวดีเป็นเวลาหลายเดือน หลวงพ่อปฏิบัติจริงและได้ผลจริง เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้วจึงมาแนะนำสั่งสอนประชาชน เห็นหนอของหลวงพ่อราคาหลายล้าน

    ความจริงแล้วตลอดชีวิตของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อท่านใฝ่หาครูอาจารย์เพิ่มพูนความรู้ตลอด ดังนั้นแนวทางปฏิบัติต่างๆ ที่เราทั้งหลายได้ยินได้ฟังมานั้นหลวงพ่อปฏิบัติมาแล้วทั้งสิ้น และเห็นผลจริงตามแนวทางนั้นๆ การปฏิบัติของหลวงพ่อจะไม่ปฏิบัติในลักษณะปะปนกันแบบจับปลาหลายมือ แต่หลวงพ่อจะปฏิบัติจริงจังจนได้ผลในแนวทางนั้นๆ แล้ว จึงไปศึกษาหรือปฏิบัติแนวทางอื่นต่อไป ซึ่งในที่สุดแล้ว หลวงพ่อก็มาหยุดที่ “สติปัฏฐาน ๔” อันเป็นทางสายเอกของพระพุทธเจ้า

    ดังนั้น ท่านผู้อ่านที่เคยมาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน ขอท่านจงภูมิใจและมั่นใจในพระเดชพระคุณหลวงพ่อเพราะท่านได้พบพระอริยสงฆ์ที่ท่านเคยใฝ่ฝันและปรารถนาแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อตรวจดูท่านที่มาปฏิบัติตลอดเวลา อย่าสงสัยเลย วันใดที่หลวงพ่อละสังขารไปแล้วพวกเราจะเสียดาย และสิ่งที่จะต้องเกิดตามมาอย่างแน่นอนก็คือ ความผิดเพี้ยนในแนวทางการปฏิบัติ และก็ยากที่จะหาผู้ใดมาทัดทานแก้ไข เพราะทุกท่านก็จะบอกว่าเขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ หรือหลวงพ่อสอนเขามาอย่างนี้ เป็นต้น ปัจจุบันทราบว่ามีลูกศิษย์บางคนไปเป็นวิทยากรสอนวิปัสสนากรรมฐาน แต่ไม่สอนตามแนวทางที่หลวงพ่อเคยอบรมสั่งสอน และบ่อยครั้งที่หลวงพ่อเตือนในวันลาศีลบ่อยๆ ว่า ผู้ปฏิบัติบางท่านทำไม่ถูกต้อง

    ในด้านการเรียน พระเดชพระคุณหลวงพ่อศึกษาค้นคว้าตลอดเวลา หลวงพ่อเป็นทั้งนักเขียน และนักพูดอย่างแท้จริง หลวงพ่อไม่เคยว่างจากการแสดงธรรมเลยแม้แต่วันเดียว ในแต่ละวันมีประชาชนไปกราบนมัสการไม่เคยขาด คำสอนของหลวงพ่อถูกบันทึกลงในแถบบันทึกเสียงไว้ให้ผู้สนใจได้ทบทวน หลายสำนักพิมพ์นำไปถอดความพิมพ์จำหน่ายร่ำรวยไปตามกัน บางท่านก็ขอบันทึกทั้งภาพและเสียง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย นำไปออกเผยแพร่ทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์ ทุกสื่อที่นักธุรกิจจัดทำแล้วนำไปจำหน่าย ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ บางรายหลวงพ่อก็จ้างพิมพ์ในราคาตลาด เพื่อนำมาแจกในโอกาสต่างๆ เพราะชีวิตหลวงพ่อมีแต่ให้ กับช่วย ไม่เคยเบียดเบียนใคร

    นอกเหนือจากพุทธศาสนิกชนคนไทยแล้ว หลวงพ่อยังได้ตอบปัญหาชาวต่างชาติระดับศาสตราจารย์ อีกหลายครั้ง บางครั้งผู้เขียนเองก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นการลองภูมิหรือเปล่า เพราะก่อนที่จะมาถามหลวงพ่อเขาก็เคยถามพระองค์อื่นมาบ้างแล้ว แต่ได้คำตอบไม่ชัดเจน บ้างก็ตอบไม่ได้ บางครั้งก็หวาดระแวงว่า เขาจะเอาไปประยุกต์ในคำสอนของพวกเขา เหมือนที่เคยพบเห็นหรือเปล่า เพราะในอดีตชาติมหาอำนาจจะยึดครองประเทศที่ประชาชนด้อยกว่าด้วยกองทัพ ซึ่งประชาชนมักรวมตัวต่อต้านตลอดเวลาอย่างที่เราเห็นว่ามีการปลดแอก มีการประกาศอิสระภาพ แต่ปัจจุบันเขาจะยึดครองด้วย เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ซึ่งรุนแรงกว่า แต่ประชาชนในชาตินั้นๆ จะไม่ค่อยรู้สึก กลับมีแต่จะชื่นชม เข้าใจว่าตนเองทันสมัย และมีความรู้สึกโก้เก๋เหมือนอย่างพระราชนิพนธ์ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ (อัศวพาหุ) เรื่อง ลัทธิเอาอย่าง การตอบปัญหา ๒ ครั้งสุดท้าย ผู้เขียนบันทึกไว้และได้ถอดความเอาไว้เรียบร้อยทุกคำพูด ซึ่งผู้เขียนได้ถวายหลวงพ่อไปนานแล้ว การถอดความดังกล่าว ก็เพื่ออรรถรสในการอ่านชวนให้ติดตามและไม่พลาดใจความสำคัญ แล้วนำมาเขียนถ่ายทอดได้ทั้งหมดโดยไม่ขาดใจความสำคัญ การตอบปัญหาดังกล่าว เป็นการแสดง ภูมิรู้ ภูมิธรรม ภูมิปัญญา ภูมิฐาน ภูมิปัจจุบัน ของพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างแท้จริง นับเป็นความโชคดีของชาวโลก

    นอกจากสอนฆราวาสแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังต้องสอนพระอีก หลวงพ่อจะลงโบสถ์ทุกตีสาม สอนพระสงฆ์ตลอดพรรษา ๓ เดือน จนหมดฤดูกฐิน ไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว ไม่ว่าจะตรากตรำงานหนักแค่ไหน หรือแม้แต่อาพาธถ้าลุกเดินได้จะไม่ละเลยเด็ดขาด ท่านปฏิบัติสม่ำเสมอเช่นนี้มานานหลายสิบปี ผู้เขียนเองก็เพิ่งจะเข้าใจและซาบซึ้งคำว่า “อุปัชฌาย์” เมื่อมาพบหลวงพ่อนี่เอง

    นอกจากนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังเขียนหนังสือไว้หลายเรื่อง เช่น
ก. แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา หลักธรรมของผู้ครองเรือนและวิถีชีวิตของคน
ข. พัฒนาคุณธรรมของข้าราชการเพื่อยกระดับจิตใจ
ค. พัฒนามารยาท คำกลอนสอนจิต และมารยาทในสังคม
ง. คู่มือวิสุทธิธรรม และลำดับวิปัสสนาญาณ
จ. คู่มือวิปัสสนาจารย์

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นพระที่เด็ดเดี่ยว ทำอะไรทำจริง ไม่มีเดี๋ยว แคล่วคล่อง ว่องไวทะมัดทะแมง ทั้งน่าเลื่อมใสและน่าเกรงขาม เมื่อนำหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาเทียบเคียงจะเห็นคุณวิเศษของหลวงพ่อได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จากหัวข้อธรรม ปาฏิหาริย์ ๓ อันหมายถึงการกระทำที่กำจัด หรือทำให้ปฏิปักษ์ยอมได้ หรือการกระทำที่ให้เห็นเป็นอัศจรรย์ หรือการกระทำที่ให้บังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ได้แก่
    ๑. อิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ (ดูหนังสือกฎแห่งกรรมแต่ละเล่ม: ผู้เขียน)
๒. อาเทศนาปาฏิหาริย์ การทายใจรอบรู้กระบวนของจิต จนสามารถกำหนดอาการที่หมายเล็กน้อย แล้วบอกสภาพจิต ความคิด อุปนิสัยได้ถูกต้องเป็นอัศจรรย์ (เห็นหนอ: ผู้เขียน)
๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นจริง สอนให้เห็นจริง นำไปปฏิบัตได้ผลสมจริง เป็นอัศจรรย์ (มาฟังด้วยตัวเองดีที่สุด: ผู้เขียน)

    ใน ๓ อย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ว่าเป็นเยี่ยมดังเราจะเห็นว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อเน้นเรื่องการอบรมสั่งสอนประชาชน ท่านสอนธรรมใกล้ตัวที่เราท่านทั้งหลายสามารถ ปฏิบัติได้ แก้ปัญหาได้ พ้นทุกข์ได้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อไม่เคยสอนให้พวกเราไปสวรรค์ ไปนิพพาน ท่านพูดให้เราคิด “มนุษย์สมบัติยังไม่มี ยังทะเลาะเบาะแว้งกัน จะไปได้อย่างไร” ขอท่านสาธุชนโปรดพิจารณา ดังนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่าจะ “ปลุกคนให้ตื่น เสกคนให้เป็นงาน” และท่านก็ทำแล้ว และกำลังทำอยู่ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีผู้มาฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกันมากมาย ทั้งที่มีหนังสือแจ้งมาเป็นหมู่คณะ และที่ต่างคนต่างมาอีกต่างหาก โดยเฉพาะในวันหยุดราชการ และวันนักขัตฤกษ์ นับว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้เดินตามรอยพระบาทของพระบรมศาสดาแล้ว คือ “อนุสาสนีปาฏิหาริย์”

    บ่อยครั้งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนญาติโยม ก็จะมีผู้ปลาบปลื้มปีติ บางท่านถึงกับน้ำตาไหล ทั้งนี้เพราะปัญหาที่เขาประสบอยู่ยังหาทางแก้ไม่ได้ และก็ไม่กล้าบอกกล้าปรึกษาใคร แต่แล้วก็มาได้ยินได้ฟังจากหลวงพ่อ ทั้งๆ ที่ไม่เคยถามหลวงพ่อเลย ซึ่งมีให้เห็นเป็นประจำนี่แหละ เห็นหนอ ราคาหลายล้านของหลวงพ่อ

    ส่วนเรื่องอิทธิฤทธิ์นั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อวางไว้แต่จะใช้เมื่อจำเป็น หลังจากกลับจากยุโรป หลวงพ่อไม่ค่อยสบายนานเกือบปี เป็นเรื่องที่เราท่านต้องสังเกตกันเองหรือไม่ก็ประสบกับตนเองเพราะเป็นเรื่องที่หมิ่นเหม่ และที่สำคัญโลกมนุษย์มีแต่ ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้อิจฉา ริษยา ผู้เขียนขอข้ามไป

    หลักธรรมอีกข้อหนึ่งที่บ่งชี้ให้เห็นความเป็นพุทธบุตรของพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็คือ อาการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ๓ คือลักษณะการสอนของพระพุทธเจ้าที่ทำให้คำสอนของพระองค์ควรแก่การประพฤติปฏิบัติตาม และทำให้เหล่าสาวกเกิดความมั่นใจเคารพเลื่อมในในพระองค์อย่างแท้จริง ประกอบด้วย

    ๑. อภิญญายธัมมเทสนา หมายถึง ทรงแสดงธรรมด้วยความรู้ยิ่ง ทรงรู้ยิ่ง เห็นจริงเองแล้ว จึงทรงสั่งสอนผู้อื่น เพื่อให้รู้ยิ่งเห็นจริงตาม ในธรรมที่ควรรู้ยิ่งเห็นจริง

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฝึกปฏิบัติกับครูอาจารย์หลายท่าน ดังที่กล่าวแล้ว โดยเฉพาะ วิชากสิณจากหลวงพ่อเดิม วิชาธรรมกายจากหลวงพ่อสด สติปัฏฐาน ๔ จากพระธรรมธีรราชมหามุนี (เจ้าคุณอาจารย์) ฯลฯ เดินธุดงค์กับหลวงพ่อในป่า เมื่อรู้แล้ว เห็นจริงแล้ว จึงนำมาสอนประชาชน ทุกครั้งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอน ท่านจะบอกว่านี่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของท่าน ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนประชาชน จะมีความหลากหลายและเหมาะสมกับจริตของผู้ฟัง จึงทำให้ฟังได้ไม่รู้สึกเบื่อ ท่านจะพิจารณาว่า บุคคลหรือกลุ่มคนเบื้องหน้าท่าน ควรจะสอนอะไรเรื่องเดียวกันแต่วิธีการนำเสนอจะต่างกัน

    ๒. สนิทานธัมมเทสนา หมายถึงทรงแสดงธรรมมีเหตุผล ทรงสั่งสอนชี้แจงให้เห็นเหตุผล ไม่เลื่อนลอย

    อีกเหตุผลหนึ่งที่คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อไม่น่าเบื่อหน่ายก็คือ ความมีเหตุผล ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของเหตุและผล การแสดงธรรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เป็นเหตุเป็นผล สอดคล้องกันเสมอ อย่างเช่น “พระให้พรเกินโควต้า โยมค้ากำไรเกินควร ทำบุญบาทเดียวจะได้รวยเป็นล้าน มันเกินไป” เป็นต้น คำสอนของหลวงพ่อใช้ภาษาง่ายๆ เป็นเหตุเป็นผล เหมาะแก่สถานภาพของผู้ฟัง ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนจึงมาวัดบ่อย เมื่อมาแล้วหนึ่งครั้งก็จะต้องมาอีก พระเดชพระคุณหลวงพ่อไม่เคยชี้นำใครให้หลงทางออกนอกความเป็นพุทธศาสนิกชน และก็ไม่เคยชวนคนต่างชาติต่างศาสนามาเป็นชาวพุทธ ท่านบอกว่า “เรามีของดีให้เขา สอนให้เขาเป็นคนดี แก้ปัญหาให้เขา เขาก็ยังคงความเป็นศาสนิกชนนั้นๆ อยู่ พ่อใครใครก็รัก” นี่คือเสน่ห์ของหลวงพ่อผู้มีแต่ให้กับช่วย

    ๓. สัปปาฏิหาริยธัมมเทสนา หมายถึง ทรงแสดงธรรมให้เห็นจริง ได้ผลเป็นอัศจรรย์ ทรงสั่งสอนให้มองเห็นชัดเจนสมจริง จนต้องยอมรับและนำไปปฏิบัติได้ผลจริงเป็นอัศจรรย์

    คุณสมบัติของพระเดชพระคุณหลวงพ่อในข้อนี้ นอกเหนือจากที่ได้ยินได้ฟังกันเป็นประจำแล้ว ปัญหาของศาสตราจารย์ชาวต่างประเทศต่างศาสนาทั้ง ๓ ท่าน ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อชี้แจงแสดงเหตุผล สะท้อนให้เห็นความเป็นพระสงฆ์ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่วิเศษสุด ตรงตามลักษณะอาการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ๓ ดังกล่าวข้างต้นทุกประการ

    นอกเหนือจากความรู้ความสามารถอันเป็นจริงดังที่กล่าวแล้ว ท่านผู้อ่านอาจนำธรรมะชื่อ “วิชชา ๓” หรือ “วิชชา ๘” ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อนำมาใช้แก้ปัญหาประชาชน ให้คลายความเศร้าโศก เสียใจ ได้สติ มาพิจารณาใคร่ครวญอีกก็ได้ ท่านก็จะได้พบกับความมหัศจรรย์ในพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างน่าฉงนว่าเป็นไปได้อย่างไร ผู้เขียนขอข้ามไป อย่างไรก็ตาม หากท่านมาวัดเป็นประจำ ได้รู้ได้เห็นวัตรปฏิบัติ ท่านจะพบว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อของพวกเราเป็น “บุคคลหาได้ยาก ๒” กล่าวคือ

    ๑. บุพการี หมายถึง ผู้ทำอุปการะก่อน ผู้ทำความดีหรือทำประโยชน์ให้ตั้งแต่ต้นโดยไม่ต้องคอยคิดถึงผลตอบแทน

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อจะพูดอยู่เสมอว่า “เรามีแต่ให้กับช่วย เราไม่ต้องการเบียดเบียนใคร” ที่วัดมีอาหารเลี้ยงฟรีตลอด ๒๔ ชั่วโมง กับข้าวหลายอย่าง ซึ่งหลวงพ่อให้มานานนับสิบปี ตั้งแต่ท่านยังเป็นพระหนุ่ม สมัยนั้นใครมาวัด ท่านก็ให้แม่ครัวทำอาหารเลี้ยง เมื่อผู้คนมากขึ้นๆ ก็ขยับขยายเป็นโรงทานอย่างที่เห็นใจปัจจุบัน บวชพระ ท่านก็บวชให้ฟรี พร้อมทั้งเลี้ยงอาหารญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของพ่อนาคทุกคน ไม่จำกัดจำนวน เผาศพก็เผาให้ฟรี มาปฏัติกรรมฐานก็ฟรี ทั้ง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม สถานที่ หยูกยา และหนังสือ นอกเหนือจากนั้น ใครเดือดร้อนมาขอให้ช่วย ถ้าช่วยได้ท่านก็ช่วย บ้างก็มาขอเงิน ทั้งตัวบุคคลและหน่วยงาน บางรายมาหลอกท่าน ท่านก็ให้ หลวงพ่อบอกว่า เขาตั้งใจมาขอแล้วมากน้อยก็ให้เขาไป อย่าให้เขาผิดหวัง คนที่มาขอก็มีทุกระดับ ทั้งภาครัฐและเอกชน การช่วยของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจะเน้นที่การช่วยคน ท่านบอกว่า “คนกำลังจะจมน้ำตาย ต้องช่วยคนก่อน” มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อรับนิมนต์ไปบ้านโยมในกรุงเทพฯ มีคนจรมาขอเงินเจ้าของบ้าน แต่เจ้าของบ้านไม่ให้ หลวงพ่อก็กระซิบกับคนขับรถที่ชื่อชัย (คนเก่า) ให้เอาเงินไปให้ โดยเจ้าของบ้านไม่รู้ อยู่ต่อมาไม่นาน คนจรคนนั้นกลับเป็นคหบดีไปหาหลวงพ่อที่วัดพร้อมถวายจตุปัจจัยและสิ่งของเป็นจำนวนมาก การให้การช่วยนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อกระทำสม่ำเสมอ เท่าที่ลงไว้ในหนังสือกฏแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัตินี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ความจริงแล้ว ท่านให้ ท่านช่วย มากกว่านี้ เมื่อท่านทำให้ดู เห็นจริงแล้ว ท่านจึงสอนว่า “ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด หมดไม่มา เราไม่หวงเราไม่อด หมดก็มา หรือให้ไม่มีอด หมดก็มา หวงมีแต่อด หมดไม่มา” บ่อยครั้ง ท่านให้ ท่านช่วย จนคนอิจฉา

    ๒. กตัญญูกตเวที หมายถึง ผู้รู้ อุปการะที่เขาทำแล้วและตอบแทน ผู้รู้จักคุณค่าแห่งการกระทำดีของผู้อื่นและแสดงออกเพื่อบูชาความดีนั้น

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อถือปฏิบัติเคร่งครัดมากในเรื่องนี้ อย่างเช่น ทุกวันที่ ๑๕ เมษายน ถือเป็นวัน กตัญญู หลวงพ่อจะบำเพ็ญกุศล โดยมีมารดาของท่านมาเป็นประธาน อุทิศถวายแด่อดีตเจ้าอาวาสที่เคยครองวัดอัมพวัน และยังแจกทานแก่ผู้สูงอายุจำนวนมาก วันแรกของการเข้าพรรษา ท่านจะพาพระสงฆ์ทั้งหมดไปกราบนมัสการพระเถรานุเถระในเขตจังหวัดสิงห์บุรี ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว สร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอันมาก ทุกวันคล้ายวันประสูตของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก หลวงพ่อจะพาคณะเข้าเฝ้าถวายพระพรเป็นประจำทุกปีมิได้ขาด ตั้งแต่พระองค์ยังเป็นพระราชาคณะธรรมดา และภาพที่หลวงพ่อก้มกราบรูปสมเด็จพระสังฆราชทุกครั้งที่ท่านขึ้นบนอาสนะที่ศาลาสุธรรมภาวนา ทั้งก่อนเข้าไปนั่ง และหลังจากเสร็จพิธีการแล้ว เป็นภาพที่ประทับใจมาก เป็นการแสดงความเคารพและปฏิบัติบูชาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลังที่งดงามที่สุด ทุกวันที่ ๑๔ มกราคม จะบำเพ็ญกุศลต่อพระแม่ธรณี เรียกว่าวันกตัญญูต่อผืนแผ่นดินไทย ทุกวันที่ ๒๓ ตุลาคม จะบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายแด่บูรพมหากษัตริย์ อาทิสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าตาก(สิน) มหาราช สมเด็จพระปิยมหาราช ทุกวันที่ ๕ ธันวาคม จะสวด “ธรรมจักร” ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจาอยู่หัวภูมิพลมหาราช ปฏิปทาอันงดงามของพระเดชพระคุณหลวงพ่อในเรื่องความกตัญญูนั้นไม่เคยบกพร่อง จึงส่งผลให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีแต่ความเจริญงอกงาม ซึ่งท่านจะสอนย้ำญาติโยมเสมอ ศูนย์ปฏิบัติธรรมเวฬุวัน ที่จังหวัดขอนแก่นเป็นศาสนสถานที่หลวงพ่อสร้างเป็นอาจาริยบูชาเพื่อบูชาพระเดชพระคุณหลวงพ่อในป่า

    สำหรับบุคคลทั่วไปก็เช่นเดียวกัน พระเดชพระคุณหลวงพ่อเคยพูดว่า “ใครให้น้ำเราแก้วเดียว เราก็ไม่เคยลืม” ดังเราจะเห็นว่าทุกท่านที่เคยมีบุญคุณกับหลวงพ่อมาแต่ครั้งไหนก็ตาม ตกมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานของผู้นั้น หลวงพ่อก็ยังระลึกถึงบุญคุณและเอื้ออาทรต่อลูกหลานของท่านผู้นั้นเสมอ ไม่ว่ารุ่นลูกหลานจะแสดงกิริยามารยาทขัดความรู้สึกของท่านสักเพียงใดก็ตาม หลายท่านอาจไม่เข้าใจข้อธรรมอันลึกซึ้งข้อนี้

    เรื่องความกตัญญู พระเดชพระคุณหลวงพ่อปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอยางโดยสม่ำเสมอ และสอนว่า กตัญญู ๔ แบบ ได้แก่
๑. กตัญญู ต่อ บุคคล – พ่อแม่ ครู อุปัชฌาอาจารย์ ฯลฯ
๒. กตัญญู ต่อ สถานที่ – บ้านเรือน สถานศึกษา ที่ทำงาน
๓. กตัญญู ต่อ ความดี – ทำความดีสม่ำเสมอ บูชาความดี รักษาชื่อเสียง
๔. กตัญญู ต่อ ตนเอง – บริหารกาย บริหารจิต

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวางตัวเป็นแบบอย่างให้พวกเราได้เรียนรู้และจดจำนำไปประยุกต์และปฏิบัติให้เหมาะสมกับสถานะและสิ่งแวดล้อมของแต่ละคน สิ่งที่หลวงพ่อประพฤติและสั่งสอน ล้วนมีบรรทัดฐานตามหลักธรรมทั้งสิ้น ดังที่ได้ยกตัวอย่างเพียงไม่กี่หัวข้อมาเทียบเคียง เพื่อเพิ่มศรัทธาปสาทะแก่พวกเราทั้งหลาย แต่ในความเป็นจริง จากหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม ปี ๒๕๒๘ โดย พระราชวรมุนี (ปัจจุบันทรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมปิฏก) จะพบว่าปฏิปทาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ล้วนตรงตามหัวข้อธรรมต่างๆ มากมาย หนังสือนี้คงไม่มีเนื้อที่เพียงพอที่จะเขียนบรรยายได้หมด

    เมื่อครั้งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อประสบอุบัติเหตุชดใช้กรรม จนกระทั่งคอหักพับได้ หนังศรีษะเปิด เมื่อ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ แต่ยังสติดีอยู่ พระเดชพระคุณหลวงพ่ออธิษฐานจิตว่า “หากข้าพเจ้ายังใช้หนี้มนุษย์ไม่หมด ขอให้ข้าพเจ้าฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา เพื่อชดใช้หนี้กรรมให้หมดไปในชาตินี้ แล้วข้าพเจ้าจะไม่ขอมาเกิดอีก” ด้วยแรงอธิษฐาน บนพื้นฐานของพระสงฆ์ผู้มีศีลาจารวัตรอันงดงามที่เพียรปฏิบัติมาตลอดกว่า ๒๐ พรรษา ทำให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฟื้นขึ้นมาเป็นที่อัศจรรย์ หนึ่งเดียวในโลก ที่คอหักแล้วไม่พิการ ไม่ตาย จากคำอธิษฐานนั้น มีเรื่องชวนให้น่าติดตามคือ
ก. ชดใช้หนี้กรรมให้หมดไปในชาตินี้
ข. จะไม่ขอมาเกิดอีก

    การชดใช้กรรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อในชาตินี้ ดูช่างหนักหนาสาหัสสากรรจ์ หลวงพ่อต้องตรากตรำงานหนักมาก ทั้งในฐานนะเจ้าคณะจังหวัด รับผิดชอบสังฆมณฑลในจังหวัด ซึ่งหลวงพ่อมักจะนำปัจจัยไปถวายวัดต่างๆ เสมอ ในฐานะเจ้าอาวาส รับผิดชอบกิจการในวัดโดยเฉพาะภาระค่าใช้จ่าย ค่าอาหารเดือนละประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ บาท ค่าไฟฟ้าประมาณเดือนละ ๘๐,๐๐๐ บาท ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่นอีกต่างหาก ที่หลวงพ่อจะนำไปให้เสมอๆ ไหนยังค่าใช้จ่ายจิปาถะ ทั้งจรและทั้งประจำอื่นๆ อีก แต่หลวงพ่อก็ไม่เคยบอกบุญเรี่ยไรใครเลย (เพราะการบอกบุญเรี่ยไรเป็นอาบัติโทษ) ในฐานะพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้ามีภาระต้องอบรมสั่งสอนประชาชนและแก้ปัญหาของญาติโยมเพราะทุกชีวิตล้วนแต่ทุกข์ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวในโลกที่มีวิชาแก้ทุกข์ คือกรรมฐาน ปัญหาของคนที่มาวัดที่หลวงพ่อจำแนกไว้มี ๕ เรื่อง
๑. ครอบครัวไม่มีความสุข
๒. ผิดหวังในชีวิต
๓. ลูกไม่เรียนหนังสือ
๔. เศรษฐกิจไม่พอปากพอท้อง
๕. มีแล้วไม่พอยังตะเกียกตะกายไปยากจน

    ในแต่ละวัน แต่ละคืน พระเดชพระคุณหลวงพ่อพักผ่อนน้อยมาก บางคืนไม่ได้หลับนอนเลย เรื่องอาหารก็เช่นกัน บางวันก็ครบทั้งเช้าและเพล บางวันก็ไม่ครบ บางวันก็ไม่ได้ฉันเลย และในความเป็นจริง แม้ว่าจะฉันครบทุกมื้อ แต่ก็เพียงไม่กี่คำ ท่านที่เคยทานอาหารจากสำรับของหลวงพ่อจะรู้ดี และท่านที่เคยเห็นเวลาหลวงพ่อฉันเพลที่หอฉันหรือที่ศาลา หลวงพ่อจะฉันน้อยมากหรือไม่ฉันเลย แต่หลวงพ่อก็ทรงสังขารอยู่ได้เป็นปกติ ในสมัยที่วัดยังไม่เจริญ โบสถ์หลังเก่ายังอยู่ หลวงพ่อจะเข้าสมาบัติในโบสถ์ ๗ วัน และอีกครั้งที่กุฏิอีก ๗ วัน (ผู้เขียนไม่กล้าเรียนถามว่าเป็นผลสมบัติหรือนิโรธสมาบัติ และเชื่อว่าหลวงพ่อจะไม่พูดอะไรและปฏิบัติที่ไหนก่อนหลังเพราะเป็นเรื่องไกลตัวอย่างเราๆ ท่านๆ) ว่ากันว่านับแต่นั้นมาหลวงพ่อจะฉันและพักผ่อนน้อยมาก ปัจจุบันแม้หลวงพ่อจะอายุ ๗๒ ปี แล้วก็ตาม ภารกิจของหลวงพ่อนับวันแต่จะมากขึ้น พักผ่อนน้อยลงหรือไม่ได้พักผ่อนเลย และฉันน้อยมากหรือไม่ฉันเลย ราวกับว่าท่านเร่งทำความเพียร เพื่อชดใช้กรรมแล้วจะไม่มาเกิดอีก ทำให้นึกถึงปัจฉิมโอวาทก่อนที่พระพุทธเจ้าของเราจะเสด็จดับขันธ์ ปรินิพพาน ความว่า “สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ที่มุ่งหมายให้สำเร็จ ด้วยความไม่ประมาก เถิด” ซึ่งหลวงพ่อก็ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

    ความไม่ประมาทนี้เป็นหัวข้อธรรมที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อในฐานะพระวิปัสสนาจารย์นำมาปฏิบัติแล้วอย่างยิ่งยวด เกิดปัญญาภายในรู้แจ้งเห็นจริง สั่งสอนประชาชนอย่างสม่ำเสมอ หลวงพ่อจะเน้นอยู่ตลอดเวลาว่า “ให้มีสติ” ในหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ได้ยกตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องความไม่ประมาทไว้หลายสำนวน เช่น

    “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อนเป็นบุพนิมิตฉันใด ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดของอารยอัษฎางคิกมรรคแก่ภิกษุฉันนั้น”

    “ธรรมเอก ที่มีอุปการะมาก เพื่อการเกิดแห่งอารยอัษฎางคิกมรรค ก็คือ ความถึงพร้อมด้วย ความไม่ประมาท”

    “ธรรมเอกอันจะทำให้ยึดเอาประโยชน์ไว้ได้ทั้ง ๒ อย่าง คือ ทั้ง ทิฏฐธัมมิกัตถะ (ประโยชน์ปัจจุบันหรือประโยชน์สามัญของชีวิตเช่นทรัพย์ ยศ กามสุข เป็นต้น) และสัมปรายัตถะ (ประโยชน์เบื้องหน้าหรือประโยชน์ขั้นสูงขึ้นไปทางจิตใจหรือคุณธรรม) ก็คือ ความไม่ประมาท” ฯลฯ

    นอกจากนั้น สิ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งในพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็คือ ความเด็ดเดี่ยวและความมุ่งมั่นในการทำงาน ดุจดังคำอธิษฐานจิตที่พวกเราได้ยินหลวงพ่อพร่ำสอนอยู่ตลอดเวลา ในหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์กล่าวไว้ว่า อธิษฐาน เป็นหนึ่งในทศบารมี ที่พระพุทธเจ้าเคยบำเพ็ญเมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็น “พระเนมิราช” ความหมายของอธิษฐานคือ ความตั้งใจมั่น การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทำของตนไว้อย่างแน่นอน และดำเนินตามนั้นแน่วแน่

    เราจะเห็นว่า การอธิษฐานจิตของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเพื่อให้ฟื้นคืนชีวิตมา ชดใช้กรรม นั้น หลวงพ่อได้ปฏิบัติอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไม่เคยปริปากบ่น ไม่เคยปฏิเสธต่อเจ้ากรรมนายเวร แม้ทุกวันนี้จะมีใครก็ตามมาฉกฉวยผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร หลวงพ่อก็ไม่เคยว่าให้เสียใจหรือเสียหน้า แต่หลวงพ่อจะใช้วิธีการเทศนาสั่งสอนญาติโยม ซึ่งจะมีเสียงออกไปทั่วบริเวณวัดและสอดแทรกเรื่องของผู้นั้นให้เขารู้สึกตัว หลวงพ่อเคยปรารภว่า “ใครทำอะไรเราก็รู้ แต่เราไม่ต้องการด่าว่าใครให้เป็นกรรมผูกพันต่อไปในชาติหน้า เราขอชดใช้เขา เราจะไม่มาเกิดอีกแล้ว แต่ถ้าไม่มีกรรมต่อกันมา เขาจะสร้างบาปกรรมเราก็ช่วยเขาไม่ได้”

    หลวงพ่อเร่งบำเพ็ญทานบารมีมากเพื่อเดินตามรอยพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็น “พระเวสสันดร” อันเป็นพระชาติสุดท้าย ท่านจึงพูดอยู่เสมอว่า “เรามีแต่ให้กับช่วย เราไม่อยากได้อะไรของใคร” และหลวงพ่อก็ทำจริงเสมอต้นเสมอปลาย ดังนั้น ท่านที่ตั้งใจมากราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ซึ่งอาจจะเพิ่งมาครั้งแรกหรือเคยมาแล้วก็ตาม หรือมีความจำเป็นจะติดต่อกับหลวงพ่อทางโทรศัพท์หรือโทรสาร ก็ตาม พึงเข้าใจในเมตตาธรรมของหลวงพ่อ และเข้าใจในอธิษฐานบารมีดังกล่าวแล้วข้างต้น หากไม่ได้รับความสะดวก หรือมีสิ่งขัดหูขัดตาบ้างเพราะคนใกล้ชิดหลวงพ่อที่เราพบเห็นเสมอๆ ทั้งในวัดและนอกวัดนั้น ไม่ได้มีความหมายอย่างที่เราเข้าใจ แต่มีอยู่ ๒ นัย คือ
ก. ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด หมายถึงลูกศิษย์ที่สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำ และปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ
ข. ลูกศิษย์หรือผู้รับใช้ใกล้ชิด หมายถึงผู้ที่มาทำหน้าที่ต่างๆ หรือคอยรับใช้หลวงพ่อและกิจการงานในวัด

    หลวงพ่อมักบอกว่า “ในวัดมีทั้งดีและไม่ดี ให้เลือกมองแต่สิ่งดีๆ พระในวัดไม่ใช่ดีทุกองค์ คนในวัดไม่ได้ดีทุกคน” เมื่อท่านพบที่ไม่ดีก็พิจารณาดูข้อ ข. และคำปรารภของหลวงพ่อที่ยกมากล่าวไว้ข้างต้น (“ใครทำอะไรเราก็รู้…..”) จะได้จิตไม่ตก และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านที่ห่างหายไปจะกลับมาใหม่ และถ้าท่านพบคนดี มีมารยาท มีสัมมาคารวะ รู้อะไรควรมิควร ฯลฯ ก็พิจารณาดูข้อ ก. จะได้มีกำลังใจ
ท่านพุทธศาสนิกชนที่นิยมธรรมะทัวร์ ไปกราบไหว้พระสุปฏิปันโน พระอริยบุคคล หรือตามหาพระอรหันต์ในสถานที่ต่างๆ อยากให้ท่านได้มากราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อบ้าง มาฟังธรรมคำสอนของหลวงพ่อบ้าง มาฟังหลวงพ่อแก้ปัญหาญาติโยมบ้าง สักระยะหนึ่ง อย่าเพิ่งเบื่อสิ่งแวดล้อม เสียก่อน แล้วพิจารณาด้วยปัญญาและเหตุผลตามความเป็นจริง ท่านจะได้อะไรดีๆ กลับไป บางทีท่านอาจได้พบสิ่งที่ท่านกำลังเสาะแสวงก็ได้

    อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า แม้สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ พระพุทธองค์ก็ไม่เคยตรัสหรือชี้ว่า สาวกองค์นั้นสำเร็จ สาวกองค์นี้เป็นระดับนั้นระดับนี้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ พระสุปฏิปันโน หรือพระอริยบุคคลจะมี ศรัทธาเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และมีศีลบริสุทธิ์ยิ่ง จะไม่มีรูปเคารพอื่นใดอย่างเด็ดขาด พระภิกษุณีแม้จะต้องรักษาศีลมากกว่าพระภิกษุสงฆ์ และบวชมานานหลายสิบพรรษา ยังต้องไหว้พระสงฆ์ที่เป็นพระบวชใหม่ ขอฝากท่านผู้อ่านเอาไปพิจารณา

    ทั้งหมดที่เขียนมา เป็นเพียงบางส่วนน้อยนิดที่กล่าวถึงปฏิปทาหรือคุณวิเศษของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ยังมีข้อธรรมอีกมากมายที่จะอธิบายสนับสนุนศีลาจารวัตรอันงดงามของหลวงพ่อ แต่หลายหัวข้อก็ยากเกินกว่าสติปัญญาของผู้เขียนจะอธิบายได้ และถ้าหากผู้เขียนเป็นผู้ใกล้ชิดก็คงจะมีเรื่องราวอันน่าสนใจ น่าประทับใจมาถ่ายทอดให้ท่านสาธุชนได้รับทราบมากกว่านี้ อันจะเป็นแนวทางชี้ให้เห็นว่าพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่แท้จริงเป็นเช่นไร คงจะช่วยลดปัญหาวิกฤติศรัทธา ของพุทธศาสนิกชนได้บ้าง น่าเสียดาย ยิ่งได้ฟังรายการทางวิทยุคลื่น เอเอ็ม ตอนดึกๆ บางรายการแล้ว ยิ่งวังเวงและน่าเป็นห่วง

    ท่านศาสนิกชนทั้งหลาย ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ฯลฯ ที่ศรัทธาในพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ขอทุกท่านจงภูมิใจและมั่นใจเถิดว่า ท่านได้พบพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาที่ดีองค์หนึ่งแล้ว เป็นทรัพยากรบุคคลที่ยังผลประโยชน์ให้กับชนทุกหมู่เหล่าโดยไม่มีข้อจำกัด ทั้งเชื้อชาติและศาสนามาเป็นเครื่องปิดกั้น เป็นนักบวชของศาสนาหนึ่งในโลกมนุษย์นี้ ที่สมควรเคารพ ยกย่อง ในคุณงามความดี อันบริสุทธิ์ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีให้กับมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง สมดังพระวรธรรมคติของสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่พระองค์ประทานให้แก่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญและคณะศิษย์วัดอัมพวัน เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๒ เนื่องในวโรกาสที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อนำคณะศิษย์เข้าเฝ้าถวายพระพร ครบรอบวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ที่จะเวียนมาถึงวันที่ ๓ ตุลาคม ความตอนหนึ่งว่า “…. กาลเวลาได้พิสูจน์หลวงพ่อจรัญของพวกท่านแล้ว จงภูมิใจในความมีบุญของพวกท่าน ทั้งที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา และได้มาพบครูอาจารย์ที่มีปัญญา จึงเห็นค่าสูงสุดของพระพุทธศาสนา อัญเชิญมาสอนสั่งท่านทั้งหลายให้ได้รับความปกปักพิทักษ์รักษา ไม่ให้ไปนรกทั้งเมื่อละโลกนี้ไปแล้ว และทั้งจะไม่พบนรกในโลกนี้ด้วย…..”

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.htmlหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

 

กลับหน้าหลัก ›