๑๒/๓๗ บัญญัติชีวิต

พระราชสุทธิญาณมงคล
๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑

 

    ขอเจริญพร บรรดาญาติพี่น้องพุทธศาสนิกชนทุกๆ ท่าน และท่านอุบาสก อุบาสิกา ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ วันนี้นับว่าเป็นวันอันสำคัญยิ่งของท่าน คือวันธรรมสวนะวันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก

    ท่านทั้งหลายอย่าประมาท อย่าพลาดโอกาสสร้างความดีงาม การเจริญกรรมฐานดีที่สุด ไม่มีอะไรดีกว่าการเจริญกรรมฐาน กรรมฐานคือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม พวกที่มาใหม่ยังไม่เข้าใจขอให้ครูบาอาจารย์แนะนำให้เข้าใจ กายจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะเหลียวซ้ายแลขวา คู้แขน เหยียดขา ตั้งสติไว้หน่อยได้ไหม

    บางคนไม่มีสติเลยพลาดโอกาสอันดีงาม ในเมื่อขาดสติแล้ววงจรมันไม่ครบ ทำอะไรจะไม่มีปัญญา ทำอะไรจะแก้ไข ปัญหาไม่ได้ เดินมีสติ นั่งมีสติ นอนมีสติอยู่ เหลียวซ้ายแลขวา คู้แขน เหยียดขาโดยตั้งสติไว้ตลอดรายการ นี่ กายานุปัสสนา กาย ยืนหนอ ๕ ครั้ง บางคนทำไม่ถูกไปยืนหนอเป็นชั่วโมง แค่ ๕ ครั้งพอ หลับตาดูมโนภาพ ดูร่างกาย สังขารที่จิต ตั้งสติจากปลายเท้าขึ้นมาที่ศีรษะ ถ้าจิตผนวกกับสติได้ท่านจะรู้วาระจิตของตัวเอง จะเกิดอะไรขึ้นมาท่านจะรู้เอง ท่านจะรู้วาระจิตของคนอื่นที่เราเห็นหนอ ศีรษะลงปลายเท้า ปลายเท้าขึ้นศีรษะ โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องกำหนดเลยนะ มันจะออกมาตายดัวอย่างนี้ว่า คนนี้นิสัยไม่ดี คนนี้ใช้ไม่ได้ มันจะบอกท่านเอง อะไรบอก ก็คือตัวสติ ถ้าครบวงจรบริบูรณ์เมื่อใด เป็นตัวพิเภก จะบอกท่านเอง ไม่ต้องไปเชื่อหมอดูไปเชื่อผีเจ้าเข้าทรง เชื่อสติดีที่สุด ถ้าสติไม่ครบวงจรอย่าไปเชื่อสติตอนที่ไร้ผล คือสติไม่พอ มีแต่สมาธิสูง แต่ขาดสติ สติน้อยไปท่านอย่าเชื่อนะ อย่าเชื่อตอนนั้น ถ้าเชื่อท่านแย่เลยนะ มันจะเสียหาย กำลังไฟแรงแต่ขาดเครื่องยับยั้ง แรงเกินไปก็ไม่ได้ ขาดเครื่องยับยั้ง มันจะเสียโอกาสอันดีงามของท่านเอง ตรงนี้พูดอย่างนี้บางคนไม่เข้าใจก็ได้

    เพราะฉะนั้นถอยสมาธิออกเอาสติใส่ เช่น นั่งอยู่ พองหนอ ยุบหนอ ไม่รู้เรื่อง พอง-ยุบ ไม่เห็นแล้วสมาธิมากไปแล้ว ถอยสมาธิด้วยการกำหนดที่ลิ้นปีว่า รู้หนอ รู้หนอๆๆ นี่เอาสติใส่เข้าไป รับรองว่าท่านมีปัญญาทันที สติจะครบวงจร ด้วยการกำหนดนี้ ผู้ปฏิบัติไม่สนใจการกำหนดนี้ท่านจะรู้วงจรของท่านประการใด เลยมีแต่สมาธิ งูบงาบๆๆ ก้มไปข้างหน้า ก้มไปข้างหลัง พอนั่งสมาธิมาแล้วแต่ขาดสติ สติไม่ครบวงจร เพราะยืนหนอ ๕ ครั้งยังไม่สนิทสนม ถ้าท่าน ยืน….หนอ… ๕ ครั้งช้าๆ ได้ รับรอง พองหนอ ยุบหนอ ของท่านจะชัดเจน ดีขึ้น ตรงนี้ขอฝากไว้ วิธีการกำหนดจิตโดยภายในสัมผัสอายตนะ ธาตุ อินทรีย์ ตาเห็นรูปเกิดจิตกำหนดเห็นหนอ ส่งจิตที่หน้าผาก เสียงหนอตั้งสติไว้ที่หูทั้งสองข้าง หูมีสติไหม หูมีทรัพย์ หูมีศีลไหม ถ้าสติท่านดีท่านจะรู้ว่าเขาพูดโกหก เขาพูดมดเท็จหรือคำพูดนั้นใช้ไม่ได้มันจะบอกได้ดีมากที่สุด แต่ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ได้ไปสนใจ เน้นตรงนี้ เลยอ่านตัวไม่ออก บอกตัวไม่ได้ ใช้ตัวไม่เป็น นั่นเอง ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญนะ ไม่สบายใจจะกำหนดไหม เปล่าเลย เอาสติตั้งไว้ที่ไหน ที่ลิ้นปีหายใจยาวๆ ไม่สบายใจหนอ…หรือเสียใจหนอ… ๑๐ ครั้ง ๒๐ ครั้ง เดี๋ยวท่านจะหายเสียใจ เสียใจหายไป ดีใจเข้ามาแทนที่ สติดีขึ้นปัญญารู้เท่าทันคำว่าเสียใจ ไปเสียใจเรื่องอะไรมันจะบอกออกมาชัดเจนมาก เราบอกตัวเองดีกว่าคนอื่นบอกเรา เรารู้จริงคือตัวเราไม่ใช่คนอื่นมารู้จริงในตัวเรา เราเป็นผู้รู้จริงทุกสิ่งในอารมณ์ของเรา ตรงนี้ขอฝากผู้ปฏิบัติด้วย ไม่ใช่ไปเที่ยวรู้คนโน้นคนนี้นิสัยไม่ดี ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องรู้ในตัวเราออกไปข้างนอก อย่างนี้ยืนหนอ ๕ ครั้งจะรู้วาระจิตของเราได้ชัดเจน จะรู้อารมณ์ของเราดีชั่วประการใด โกรธหนอ ตั้งสติไว้ที่ลิ้นปีนั่น โกรธหายทันทีเพราะสติครบวงจรสัมปชัญญะ ไม่ลดละภาวนา ครบวงจร มันจะหายโกรธได้ง่าย ผูกพยาบาทก็จะหายไป แล้วความหายนะในใจก็หายไป เสนียดจัญไรก็หมดไปจากจิตของเรา จิตใจก็ใส ใจสะอาดหมดจด ตรงนี้เป็นเรื่องบริสุทธิ์ของจิต ที่ผู้ปฏิบัติต้องเข้าใจรู้เข้าใจอันนี้ให้ได้ เสียใจกำหนด โกรธกำหนด ดีใจกำหนด อย่าผูกพยาบาทค้างคืนไว้ เสียใจอย่าให้ใจมันเสีย อย่าให้จิตใจมันต้องค้างคืน อารมณ์ค้างตอนเช้า ท่านเป็นนักธุรกิจหรือครูบาอาจารย์ท่านจะสอนไม่ได้ดี ทำงานจะไม่ได้ผล ตรงนี้ขอฝากผู้ปฏิบัติด้วย มิฉะนั้นท่านจะไม่ได้เรื่องอะไรในการปฏิบัติครั้งนี้ เสียใจกำหนด ดีใจกำหนด ผูกพยาบาทกำหนด อย่าให้มันมีค้างในใจเลย

    ท่านทั้งหลายอย่าให้มีความสงสัยอีกต่อไป ไม่มีความสงสัยในพระพุทธเจ้า ไม่มีความสงสัยในพระธรรม ไม่มีความสงสัยในพระสงฆ์ ไม่มีความสงสัยในจิตที่เคลือบแฝงในตัวเราอีกแล้ว ปีศาจผีสิงมันอยู่ในตัวเรามันจะออกไปทันที ไปไล่ผีที่ผีมันเข้าง่าย ปีศาจผีสิงอยู่ในตัวคนทุกสิ่งไล่ยาก เจ้าตัวต้องไล่เองนะ คนอื่นไปไล่ไม่ได้ ขอประทานโทษ ผีมาเข้าโยมนะหมอผีมาไล่ออกได้ แต่ปีศาจผีสิงที่มันสิงอยู่ในจิตใจของเรานั้นใครจะเป็นคนไล่ การกำหนดจิตนี้เป็นการไล่ปีศาจผีสิง เพราะปีศาจผีสิงเป็นตัวทำให้ทุกสิ่งหลงผิด ทำให้เกิดทิฐิมานะบางประการที่เลวร้ายโดยไม่รู้ตัว ปีศาจผีสิงมันสิงเสียจนเคยชิน กลายเป็นคนวิสัยทัศน์ที่เลวร้าย วิสัยดีจะไม่มีอยู่ในตัวบุคคลนั้น เพระตัวปีศาจผีสิง

    ถ้าญาติโยมมาเจริญกรรมฐานได้ดีแล้วจะขับปีศาจผีสิงออกไปโดยทุกสิ่งไม่มีปัญหา จะไม่มีการสร้างปัญหาอีก จะมีแต่แก้ปัญหาสู้ปัญหาอยู่ต่อไป ชีวิตนี้จะมีโชคมีชัยตลอด และไม่มีเสนียดจัญไรอีกต่อไปแล้ว เห็นหนอเห็นด้วยปัญญาหน่อยได้ไหม ไม่เคยกำหนดเลยนะ จะหยิบอะไรก็ไม่เคยกำหนด จะคู้แขนเหยียดขาก็ไม่กำหนด ถ้าท่านกำหนดได้ท่านจะรู้ได้เลยว่ามีกี่ระยะ จะได้อะไรบ้างท่านจะรู้เอง ถ้าทำอะไรใจด่วนใด้จะไม่ค่อยรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่าใจเร็วอย่าใจร้อน ผ่อนคลายผ่อนเครียด จงรักษาความเป็นระเบียบวินัยคือสติสัมปชัญญะถึงจะมีระเบียบวินัย ถ้าเราไร้สติสัมปชัญญะท่านจะไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัยไมมีเหตุผลดันปลายอย่างแน่นอน ขอฝากท่านทั้งหลายไว้ในโอกาสนี้ด้วย

    เวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน ข้อที่ ๒ นั้น ทุกคนต้องประสบ มีอยู่สามประการ สุขกับทุกข์ ดีใจกับเสียใจ ดีใจแล้วก็เสียใจ เสียใจแล้วดีใจ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ปวด เดี๋ยวก็เมื่อย ต้องประสบแน่นอน ถ้าไม่สุขไม่ทุกข์ก็อุเบกขาเวทนา ไม่สุขไม่ทุกข์จิตใจก็ลอยออกไปข้างนอกไม่มีที่เกาะไม่มีที่เกี่ยว ต้องตั้งสติไว้เลย สุขหนอ ดีใจหนอ เสียใจหนอ ที่ลิ้นปีนั่น ปวดเมื่อยทั่วสกนธ์กายกำหนดได้ไหม ปวดหนอๆ ปวดมากเลยกำหนด ท่านจะรู้ไม่จริง ถ้าเลิกกำหนดท่านจะรู้ไม่จริงนะ สอบอารมณ์ตอบผิดแน่นอน รู้ไม่จริง รู้โดยบัญญัติของมันเอง รูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์อยู่ตรงนี้ อุเบกขาเวทนา ไม่สุข ไม่ทุกข์ ใจก็ลอย ต้องกำหนด รู้หนอๆ ที่ลิ้นปี่ พอมีสติดีแล้ว ใจลอยแล้วก็เข้ามาสู่จิตมีสติปัญญา รอบรู้ในกองการสังหาร จะได้อ่านตัวออก บอกตัวได้ใช้ตัวเป็น จะได้เห็นตัวตาย จะได้คลายทิฐิ จะได้ดำริชอบ จะได้ประกอบกุศล ได้ผลอนันต์เป็นหลักฐานสำคัญ ตัวนั้นเป็นตัวสำคัญ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องได้อย่างนี้ บางทีปวดเมื่อยเลิกเลยหรือ บางคนมานั่ง ๓ วันกลับบ้านแล้ว ๒ วันกลับ ยังไม่ทันหายเมื่อยเลยกลับแล้ว และก็ปีหน้ามาใหม่ ไม่เสมอต้นเสมอปลาย ก็ไม่ได้อะไรเลยแล้วก็มาบอกว่านั่งไม่ด้ผล จะได้ผลอะไรมานั่งจิ้มๆ จ้ำๆ เลิกแล้ว เรียนยังไม่เข้าถึงครูบาอาจารย์ และจะได้อะไรหรือ ย่อท้อใจ ไม่ได้สนใจในการปฏิบัติของตนทิ้งหน้าที่ ขยันนอกหน้าที่การงาน เหมือนคนเรามีหน้าที่ธรรมวินัย มีหน้าที่ทำกิจวัตรไม่เอา ขยันนอกหน้าที่หมด ไม่ใช่เรื่องของตัวก็ไปขยัน ในฐานะอุบาสก อุบาสิกา มาปฏิบัติก็ขยันในหน้าที่ อย่าไปขยันนอกหน้าที่ มันจะเปลืองเวลาเสียงานเสียกาลเวลาไปไม่ใช่น้อย เป็นพระสงฆ์องค์เจ้าก็ต้องอย่าขยันนอกหน้าที่ ทำกิจวัตรโดยหน้าที่สมบูรณ์แบบคือพระธรรมวินัย เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเป็นผู้นำของประชาชนและประชาชาติ คือ พระสงฆ์ เป็นครู อย่าให้โยมมานำ ถ้าโยมนำพระต้องแย่แน่ พระต้องนำ พระต้องออกหน้าซิ เวลาศพขึ้นเมรุ พระก็ต้องออกหน้าไป โยมก็ตามพระ แต่จะกลับกันเสียแล้วหรือพระตามโยม มันจะไม่ถูกแบบของความขยันหมั่นเพียรนอกหน้าที่นอกระบบ นอกแบบนอกแผน จะดีได้ประการใด ก็ฝากท่านทั้งหลายไปคิดตีความหมายอย่างนี้ การกำหนดจิตตั้งสติไว้ให้มาก ท่านจะมีปัญญาท่านจะรู้เองว่าระลึกชาติได้ไหม เวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน ท่านกำหนดได้ไหม เสียใจกำหนด อย่าให้มันผ่านไปเปล่า ต้องทำให้ละเอียด

    จิตตานุปัสสนาสติปัฎฐาน ข้อที่ ๓ เราจะได้รู้ว่าจิตเป็นธรรมชาติต้องคิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ไว้ได้นานเหมือนเทปบันทึกเสียง มันไม่มีตัวตนให้คลำ คลำไม่ได้ไม่มีตัวตน แต่มันบอกในอารมณ์ ต้องคิด ต้องอ่าน ต้องเขียน ก็ขอเจริญพรว่าจะบ่นกับอาตมาว่าจิตไม่อยู่กับที่ จิตนี้เป็นธรรมชาติอยู่กับที่ไม่ได้ มันต้องคิดจิปาถะ คิดดี คิดไม่ดี พอหลับไปแล้วมันก็ไม่คิด พอลืมตาขึ้นมาต้องคิดแล้ว บางทีคิดเครียด กลุ้มใจก็ฝันในเรื่องนั้น ถ้าคิดเรื่องแฟนก็ฝันถึงเรื่องแฟนแน่นอน คิดเรื่องบ้าบอคอแตกจิตใจเป็นอกุศลแล้วก็ฝันเรื่องไม่ดี ฝันหมาบ้าขับ โดนยิงบ้าง โดดลงเหวบ้าง โดดตกเรือนบ้าง ถ้าจิตดีมีปัญญาสติจะไม่ฝันเลวร้ายเลยในชีวิตของท่าน นี่จิตตานุปัสสนาสติปัฎฐานในข้อ ๓ หมายความว่ากระไร หมายความว่าจิตเป็นธรรมชาติอย่างนี้ ห้ามไม่ให้คิดไม่ได้ ต้องคิดจิปาถะ มานั่งอยู่นี้บางทีคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ โยมที่นั่งฟังอาตมาอยู่นี้อาจจะคิดหลายอย่าง อาจจะคิดถึงขอนแก่นก็ได้ นี่ขนาดพูดอยู่นี้ยังคิดไปอเมริกา คิดไปหาคนโน้น คิดไปหาคนนี้ นี่แหละคิดจิปาถะ ตั้งสติไว้ ถ้าโยมคิดหลายเรื่องในเวลาเดียวกันไม่ได้ ไม่มีพลัง โปรดคิดเรื่องเดียวในเวลาเดียวกัน อย่าคิดหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน ท่านจะไม่มีพลังปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาได้ ขอฝากญาติโยมไว้ในโอกาสนี้ จิตตานุปัสสนาสติปัฎฐานมันเกิดทางอายตนะ ธาตุอินทรีย์ ตาเห็นรูปเกิดจิต หูได้ยินเสียงเกิดจิต จมูกได้กลิ่นเกิดจิต ลิ้นรับรสเกิดจิต กายสัมผัสร้อนหนาวเกิดจิต ตั้งสติไว้ตรงนั้น จิตมันเกิดตรงไหนตั้งสติไว้ให้รู้ ให้ทันเหตุการณ์ของมัน เพราะฉะนั้นทวาร ๓ เป็นที่มาของบ่อบุญบ่อบาป ทวารกาย วาจา จิต ทวาร ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์นี้เป็นที่มาของสวรรค์นรก เป็นที่มาของจิตโดยเฉพาะ ทวาร ๙ ก็เป็นที่มาของอสุภะ ตา ๒ จมูก ๒ หู ๒ ปาก ๑ ทวารหนัก ๑ ทวารเบา ๑ มีแต่ของเหม็นไม่มีอะไรที่จะก่อให้เกิดเพลิดเพลินเจริญใจแต่ประการใด พิจารณาตรงนั้นเถิด ว่ามีอะไรดีบ้างไหม มีอะไรสวยงามบ้างไหม มีอะไรหอมบ้างไหม ไม่มีเลย

    ถ้าท่านคิดได้ทุกวันทุกเวลาแล้ว ท่านจะสร้างความดีให้ยิ่งใหญ่ในอนาคตต่อไป ขอเจริญพรว่าของดีที่เราสร้างกันนี้เป็นของหอม ไอ้ความชั่วนั้นเป็นของเหม็น แต่ในร่างกายของเรานี้มันก็มีแต่ของปฏิกูลอย่างนี้ จะหอมไหม ถ้าคนนี้มีความดีมันก็หอม คนนี้ชั่วเหลือเกินอย่างไรก็เหม็น ถึงจะประพรมน้ำอบอย่างไรก็เหม็น เพราะความชั่วร้าย บางคนบ้านก็จน น้ำเหลืองก็หยด มีคนช่วยกันหามศพ อาตมาเคยจูงศพเขาลงบันได เขาจึงห้ามเอาศพลงบันได นี่น้ำเหลืองเข้าปากอาตมาเลย เพราะว่าศพเขาไม่มีฉีดยาเมื่อสมัยก่อน เขาจึงห้ามศพลงบันได เขานิมนต์พระคุณเจ้าต้องจูงลงไปนะ แต่ทำไมหนอคนมากๆ ช่วยกันหาม ไม่รังเกียจเลย เพราะความดีของคนตายมันหอม แต่สรีระร่างกายมันเหม็น แต่ไม่มีคนรังเกียจแต่ประการใด

    บางคนศพไม่มีน้ำเหลืองไม่เหม็นก็ไม่มีใครช่วยหาม เพราะตอนมีชีวิตอยู่เลวร้ายที่สุด ใจดำอำมหิตเหี้ยมโหดทารุณโหดร้ายเหลือเกิน แล้วจะมีใครเขาไปหามศพ นี่อย่างนี้ได้กับตัวอาตมาเลย หอมคือความดี แต่ความชั่วนี้มันเหม็นเหลือเกิน ขอประทานโทษขออนุญาตกล่าวคำหยาบสักหน่อย อย่าว่าอาตมาพูดคำหยาบเลย คนตดทางก้นเหม็นเดี๋ยวก็หาย แต่ตดทางปากเหม็นไม่มีทางหาย ตดทางปากไม่มีทางหายเลย อันนี้ไปตีความหมายเอาเองเถอะ

    ธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน ในข้อที่ ๔ นั้น ก็คือธรรมเป็นกุศลหรืออกุศล เราอยากจะรู้ว่าที่เราทำไปแล้วนั้นถูกต้องหรือไม่ กำหนดรู้หนอ ที่ลิ้นปี่นั่น หายใจยาวๆ รู้หนอๆๆ อ๋อที่ทำไปแล้วนั้นเป็นอกุศล ไม่ควรจะทำอีกต่อไป สติบอกชัดเจน อย่าทำเลยอกุศลกรรม เป็นเรื่องที่ไม่ดี รู้หนอๆๆ ควรจะก่อกรรมทำดีเสริมสร้างความดีเป็นกุศลกรรมต่อไป เรียกว่าธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน ธรรมเป็นกุศล ธรรมเป็นอกุศล จะอธิบายก็จะมากจนเกินไป ก็ขอฝากท่านไว้ในโอกาสนี้ เพราะเมื่อคืนนี้เขียนเรื่องบัญญัติชีวิตให้ทราบเป็นแนวทางเล็กน้อย ดังนี้…

บัญญัติชีวิตล้วน หลายนัย ชีวิตสูงต่ำใคร ขีดขั้น
ทำสถิตดวงใจหากบ่มเองนา ศาสตร์แห่งกรรมเผยชนักเมื่อได้งบดุล
ชีวิตแท้ได้แก่ความเป็นอยู่ ส่วนที่รู้เห็นง่ายเช่นการหนัง
ที่ลับลี้จิตใจซึ่งทรงพลัง เป็นตัวสั่งทั้งด้านงานการพูดจา
ชีวิตใครย่อมเป็นไปตามความคิด ทางที่ผิดคือเกียจคร้านการศึกษา
ทางที่ถูกต้องเพียรเรียนวิชา จะก้าวหน้าเพิ่มคุณค่าต้องอย่าท้อ
ชีวิตกายได้จากพ่อและแม่ เกิดแล้วแก่เจ็บแล้วตายไม่นานหนอ
คนส่วนใหญ่มักใส่ใจจนเกินพอ เฝ้าพะนอแต่ของทิ้งสิ่งมายา
ชีวิตจิตมาสู่ร่างจากปางก่อน เมื่อม้วยมรณ์ต้องเร่ร่อนตามยถา
นรกสวรรค์ขึ้นกับกรรมที่ทำมา ควรค้นคว้าหาแต่ดีหนีส่วนร้าย
ชีวิตเทพเสพสุขด้วยกุศล แม้ร่างตนสูญลับใช่ดับหาย
จิตวิญญาณสืบต่อไปมิใช่ตาย โปรดขวนขวายปลูกศรัทธาอย่ารู้โรย
ชีวิตสัตว์อัตคัดเป็นส่วนมาก ล้วนทุกข์ยากหากเป็นเปรตเหตุหิวโหย
ยิ่งตกนรกหมกไหม้ถูกไล่โบย ดิ้นโอดโอยทุกเวลากว่าจะพ้น
ชีวิตคนขวนขวายสู้อย่ารู้หนี เกิดทั้งทีสร้างชีวีให้มีผล
แม้พลาดพลั้งยั้งไว้ใจอดทน เฝ้าฝึกฝนทั้งศีลทานการภาวนา
ชีวิตพุทธรู้แจ้งแทงให้ตลอด มิใช่จอดเพียงตาเนื้อเจือตัณหา
พระนิพพานสถานทิพย์ใช่ลิปดา อยู่ที่ว่ากิเลสทั่วพ้นบ่วงมาร
ชีวิตเราอย่าปล่อยลอยล่องเปล่า ไม่ลืมเบาทั้งกายจิตคิดสังหาร
ด้านปัจจัยอนามัยอีกวิญญาณ จงบริหารให้สมดุลเกิดคุณเต็ม

นี่แหละท่านสาธุชนทั้งหลาย
ผู้ให้อมิสทานได้รับความนับถือ เพราะว่าให้ความอิ่มความสมหวังเพียงชั่วคราว
ผู้ให้วิทยาทานได้รับความเคารพ เพราะให้สุขได้วิชาเลี้ยงตัวจนตาย
ผู้ให้ธรรมทานได้รับการบูชา เพราะยังผู้ปฏิบัติธรรมให้กุศลส่งผลจนถึงพระนิพพาน

ท่านสาธุชนทั้งหลาย
สุขภาพทางกายก็เป็นธรรมดาที่จะต้องร่วงโรยไปตามวัย
ไม่มียาอายุวัฒนะขนาดใดช่วยได้จริงจัง
แต่สุขภาพทางจิตเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้เสมอ
หากเรามีพลังจิตที่สั่งสมด้วยการบำเพ็ญอย่างต่อเนื่อง
แม้กายจะชราจิตที่ทรงพลังก็จะทำให้กระปี้กระเปร่าขึ้นได้
กายอาจเจ็บไข้ได้ป่วย
จิตที่เข้มแข็งย่อมทนต่อทุกขเวทนาไม่หวั่นไหวนัก
และวาระสุดท้ายที่กายจะล้มตายลง
จิตที่แช่มชื่นแจ่มใสย่อมยิ้มต้อนรับมัจจุราชได้ทันที
กุศลกรรมทำให้ลอย
บาปกรรมทำให้หล่น
โลกุตรกุศลทำให้หลุด
แม้จะถ่อมตัวกลัวลอยก็ตาม
ความดีที่บำเพ็ญไว้ต้องส่งเสริมให้ชีวิตสูงส่งอย่างแน่นอน
และแม้จะคุยโวโอ้อวดสักปานใด
หากมีอกุศลครอบงำก็ย่อมหนีความตกต่ำไปไม่พ้น
ส่วนผู้หนักทางจิตภาวนาชอบละชอบวา
สักวันหนึ่งก็คงว่างจากตัวตนหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงขึ้นมาได้ทันที
ญาติโยมทั้งหลาย
มีอริยทรัพย์แต่ขาดโลกียทรัพย์ ชีวิตไม่ยุ่งแต่ยาก
มีโลกียทรัพย์แต่ขาดอริยทรัพย์ ชีวิตไม่ยากแต่ยุ่ง
แต่ถ้าขาดทั้งอริยทรัพย์ขาดทั้งโลกียทรัพย์ ชีวิตทั้งยุ่งทั้งยากก็แย่แน่นอนที่สุด
แต่ถ้ามีทั้งอริยทรัพย์มีทั้งโลกียทรัพย์ ชีวิตย่อมไม่ยุ่งไม่ยากก็ยิ้มได้ทันที ณ บัดนี้
ญาติโยมทั้งหลาย โปรดพิจารณาตัวเอง
ในโลกไม่มีอะไรประเสริฐยิ่งกว่ามนุษย์
แต่ในมนุษย์ไม่มีอะไรประเสริฐยิ่งกว่าจิตใจของเรา
ในจิตใจไม่มีอะไรประเสริฐยิ่งกว่าคุณธรรม
ถ้าจิตใจมนุษย์ไร้ซึ่งคุณธรรมเสียแล้ว
ความประเสริฐของมนุษย์ก็จะไร้ความหมายลงทันที

    บัดนี้ในปัจจุบันมีผู้บ่นเดือดร้อนเศรษกิจตกต่ำ มีความทุกข์เรื่องการครองชีพเป็นส่วนมากๆ ที่ยุคนี้มีการพัฒนาด้านวัตถุปัจจัยต่างๆ ขึ้นมาอย่างมากมายกว่าแต่ก่อน ก็คงเป็นเพราะคนส่วนใหญ่มุ่งอามิสสุขจนเกินไป คงลืมไปว่ายังมีนิรามิสุขที่พึงได้ถึง ในเมื่อรู้จักประมาณในการแสวงหาและใช้สอย รู้จักพอ รู้จักประมาณการเป็นอยู่ ไม่รู้จน ผู้ที่เข้าใจกฎแห่งกรรมทางพระพุทธศาสนาดีเขาจะไม่ไปรอผลจากใครที่ไหน เมื่อไร จากใคร ทุกครั้งที่มีกุศลจิตทำความดี ความดีนั้นก็จะเข้าไปเพิ่มคุณภาพของจิตทุกคราว ที่เกิดอกุศลจิตสร้างความชั่ว ความชั่วนั้นก็จะเข้าไปทำลายคุณภาพของจิตเป็นไปในปัจจุบันทันทีนั้นเอง ส่วนผลพลอยได้ เช่น อานิสงส์ของท่านที่จะบันดาลให้ร่ำรวย ผลของศีลซึ่งจะช่วยให้สวยงามอายุมั่นขวัญยืน หรือการเจริญภาวนาอันจะพัฒนาสติปัญญาให้ดียิ่งขึ้น ทางพระพุทธศาสนาบอกว่าบางทีต้องรออนาคต ใกล้บ้าง ไกลบ้าง อาจจะถึงชาติหน้า หรือชาติต่อๆ ไป เพราะชีวิตร่างกายอัตภาพของเรานั้นไม่ยั่งยืนพอตอบสนองผลกรรมที่พึงได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง แม้เมื่อจิตยังไม่หมดกิเลส ยังมีตัณหา ความทะยานอยากผลักดันให้จิตใจไปเกิดอีก คุณภาพที่ดีหรือชั่วของจิตย่อมติดตามไปให้ผลอีกต่อไป ผู้ใดเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น เท่ากับสร้างหนี้ไว้ จะต้องไปใช้หนี้เขาในชาติหน้า ส่วนผู้เสียสละเพื่อเกื้อกูลผู้อื่นเปรียบเสมือนเจ้าหนี้ ที่จะต้องได้รับการชดใช้พร้อมทั้งมีดอกเบี้ยเป็นผลตอบสนิงต่อไปแน่นอน

    ท่านทั้งหลายเอ๋ย ฝนตกเป็นเรื่องของฝน พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าถ้าอยู่ในเรือนที่มุงหลังคาดีแล้วฝนย่อมไม่รั่ว รอได้ หมายถึง เรื่องประเภทอนิฎฐากรรที่คนไม่ชอบใจ มีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นต้น เป็นสิ่งซึ่งย่อมจะตกมาถึงเราสักคราวหนึ่งเป็นแน่ ถ้าเรามีจิตใจรู้เท่าทันไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นเข้าบั่นทอนกำลังใจ ก็คงไม่ค่อยจะทุกข์ร้อนอะไรเท่าไรนัก ยิ่งเข้าใจในธรรมชาติธรรมดา เช่นแสงแดดย่อมมีอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งมืดเพราะมีเมฆหมอกบังหรือฝนกำลังตก หรือเป็นที่โลกกันแสงแดดเสียเองดังนี้ เป็นต้น เมื่อเรารู้เท่าทันมีความสำนึกว่าอีกไม่นานฝนก็จะหายตะวันก็จะยอแสงมาใหม่ ย่อมมีกำลังใจในระยะมืดมน ส่วนสดใสได้ก็ย่อมถึงคราวสดใสได้ ถ้าใจเรายังไม่เสียซะก่อนโปรดพยายาม มีผู้มีพยายามหายาอายุวัฒนะทางกายจะให้มีอายุยืนไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มียาที่จะช่วยให้คนพ้นตายได้จริงจัง ส่วนพระพุทธองค์ทรงค้นหายาอายุวัฒนะทางจิต เมื่อพระองค์ทรงนั่งภาวนาจนจิตสงบระงับเป็นสมาธิแล้วเกิดปัญญาญาณ ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ชนะกิเลสอาสวักจนหมดไป เป็นเหตุให้สิ้นทุกข์ทางใจอย่างสิ้นเชิงสิ้นชีวิตแล้วำม่มีการเกิดอีก เหมือนเมล็ดผลไม้จนหมดยางหมดเชื้อเอาไปเพาะก็ไม่ขึ้น เมื่อไม่มีการเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็พลอยสิ้นไปด้วย จึงเป็นอมตจิต อมตสุขไม่มีปัญหาของชีวิตอีกแต่ประการใด

    ขอท่านสาธุชนทั้งหลายได้โปรดพิจารณาข้อนี้ให้มาก ดังที่กล่าวแล้ว ที่ชี้แจงมาในวันนี้กล่าวถึงภาวะของจิต ภาวะของชีวิต ชีวิตไม่แน่นอน บัญญัติชีวิตเป็นอย่างนี้แหละหนอ ท่านทั้งหลายอย่าเข้าใจผิด ตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานให้ดีที่สุด ทาน ศีล ภาวนา ท่านเข้าใจแล้วนั้น

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›